ค้นพบเสน่ห์อันน่าหลงใหลของกรุงเทพฯ ในปี 2566

กรุงเทพฯ เมืองหลวงที่มีชีวิตชีวาของประเทศไทย ดึงดูดนักเดินทางด้วยการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและประเพณีอันน่าหลงใหล เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่คึกคักไปด้วยพลังงานร่วมสมัย เมืองนี้สัญญาว่าจะเป็นการเดินทางที่น่าจดจำสำหรับผู้มาเยือนในปี 2566 ตั้งแต่วัดโบราณไปจนถึงตลาดที่พลุกพล่าน และจากอาหารริมทางที่น่ารับประทานไปจนถึงประสบการณ์การช็อปปิ้งที่หรูหรา กรุงเทพฯ มอบประสบการณ์มากมายที่สลับซับซ้อนเพื่อปรนเปรอทุกความเร่าร้อน มาเริ่มทัวร์เสมือนจริงของจุดหมายปลายทางที่มีเสน่ห์แห่งนี้และสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปเยือนเพื่อการเดินทางที่น่าจดจำ

ตื่นตากับความยิ่งใหญ่ของวัด

การมาเยือนกรุงเทพฯ จะไม่สมบูรณ์หากไม่ได้สำรวจวัดวาอารามอันน่าเกรงขาม พระบรมมหาราชวัง กลุ่มอาคารและวัดวาอารามอันโอ่อ่าตระหง่านเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความล้ำเลิศทางสถาปัตยกรรมของไทย อย่าพลาดวัดพระแก้ว วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่เคารพนับถือ วัดอื่น ๆ ที่ต้องไปเยี่ยมชม ได้แก่ วัดโพธิ์ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ และวัดอรุณราชวรารามซึ่งมีทิวทัศน์อันน่าทึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา

ดื่มด่ำกับเสน่ห์อันวุ่นวายของตลาด

ตลาดที่มีชีวิตชีวาของกรุงเทพฯ มอบประสบการณ์อันน่าดื่มด่ำให้กับชีวิตบนท้องถนนที่พลุกพล่านของเมือง ตั้งแต่ตลาดน้ำที่เป็นสัญลักษณ์อย่างดำเนินสะดวกที่พ่อค้าแม่ค้าเร่ขายสินค้าบนเรือ ไปจนถึงตลาดนัดสวนจตุจักรที่มีสีสันและหลากหลาย นักช็อปและผู้ที่ชื่นชอบวัฒนธรรมจะค้นหาสมบัติเพื่อนำกลับบ้าน สำรวจร้านค้าที่เต็มไปด้วยงานฝีมือท้องถิ่น เสื้อผ้า ของที่ระลึก และดื่มด่ำกับอาหารริมทางรสเลิศที่สะท้อนถึงความหลากหลายด้านอาหารของประเทศไทย

ลิ้มลองอาหารไทยรสเลิศ

การผจญภัยด้านอาหารกำลังรออยู่ที่กรุงเทพฯ พร้อมอาหารไทยรสเลิศมากมาย ตั้งแต่อาหารริมทางที่มีรสชาติและกลิ่นหอมในทุกมุมถนน ไปจนถึงร้านอาหารที่ได้รับดาวมิชลินที่สร้างนิยามใหม่ให้กับอาหารแบบดั้งเดิม กรุงเทพฯ ตอบโจทย์ทุกรสนิยม ลิ้มรสผัดไทยอันเป็นเอกลักษณ์ ดื่มด่ำกับแกงเขียวหวานรสเผ็ดร้อน และลิ้มลองรสชาติของข้าวเหนียวมะม่วงเมืองร้อน แหล่งอาหารที่มีชีวิตชีวาของเมืองนี้จะทำให้คุณรู้สึกอยากมากขึ้นอย่างแน่นอน

โอบกอดสถานบันเทิงยามค่ำคืน

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน สถานบันเทิงยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ จะมีชีวิตชีวาขึ้น พร้อมตัวเลือกความบันเทิงมากมาย ตั้งแต่บาร์บนชั้นดาดฟ้าที่มองเห็นวิวเมืองแบบพาโนรามา ไปจนถึงไนต์คลับที่มีชีวิตชีวาและการแสดงทางวัฒนธรรม เมืองนี้มีอาหารให้เลือกหลากหลาย สัมผัสเสน่ห์บรรยากาศคึกคักของถนนข้าวสาร หรือล่องเรือดินเนอร์ไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ดื่มด่ำกับแสงสีของเมือง

สัมผัสศิลปะและวัฒนธรรมของกรุงเทพฯ

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบวัฒนธรรม กรุงเทพฯ เป็นแหล่งขุมทรัพย์แห่งศิลปะและวัฒนธรรม เยี่ยมชมหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ศูนย์กลางนิทรรศการและการแสดงศิลปะร่วมสมัย ดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์และศิลปะไทยที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และชมการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมืองอันน่าหลงใหลที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

ล่าถอยสู่โอเอซิสอันเงียบสงบ

ท่ามกลางเมืองที่พลุกพล่าน พบกับความเงียบสงบที่โอเอซิสอันเงียบสงบของกรุงเทพฯ สวนลุมพินีเป็นสถานที่พักผ่อนที่สดชื่นด้วยทะเลสาบ เส้นทางวิ่งออกกำลังกาย และรำไทเก็ก สำรวจสวนอันเขียวขจีของคาบสมุทรบางกระเจ้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ปอดสีเขียว” ของกรุงเทพฯ และเพลิดเพลินกับการขี่จักรยานสบายๆ หรือนั่งเรือไปตามลำคลองอย่างเงียบสงบ

บทสรุป: เมืองแห่งมนต์เสน่ห์ไม่รู้จบ

กรุงเทพฯ มีเสน่ห์ที่ผสมผสานระหว่างเสน่ห์แบบโบราณและความมีชีวิตชีวาสมัยใหม่ สัญญาว่าจะเป็นการผจญภัยที่น่าหลงใหลสำหรับนักเดินทางในปี 2566 ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจวัดอันเป็นสัญลักษณ์ ดื่มด่ำกับอาหารรสเลิศ หรือดื่มด่ำกับวัฒนธรรมอันรุ่มรวยของเมือง กรุงเทพฯ มีเสน่ห์ด้วยการต้อนรับที่อบอุ่นและเป็นเอกลักษณ์ มนต์เสน่ห์ที่คงอยู่เนิ่นนานหลังการเดินทางสิ้นสุดลง โอบกอดความมหัศจรรย์ของกรุงเทพฯ และเตรียมพร้อมที่จะเคลิบเคลิ้มไปกับนครแห่งนางฟ้า

ปีนผาที่อ่าวไร่เลย์ กีฬายอดฮิตของคนรุ่นใหม่ที่รักในการผจญภัย

หลายคนมองว่าการสร้างความท้าทายในชีวิตถือเป็นสีสันอย่างหนึ่งที่ทำให้วันเวลาผ่านไปแบบไม่น่าเบื่อ ความตื่นเต้นถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นความสนุกสนานที่พบเจอได้โดยทั่วไป ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่การปีนผาจะกลายเป็นกีฬายอดฮิตในหมู่คนรุ่นใหม่ สำหรับประเทศไทยนั้นถือเป็นเรื่องโชคดีมากที่เรามีสถานที่ปีนผาที่ถือได้ว่าติดท็อปยอดนิยมของโลกในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นสถานที่ปีนเขาที่สวยที่สุดในโลกอีกที่หนึ่ง

อ่าวไร่เลย์ สถานที่ปีนผาที่ไม่ได้มีดีหน้าแค่ผาที่สูงชัน

อ่าวไร่เลย์ ถ้าพูดถึงชื่อนี้หลายคนคงกำลังนึกถึงหาดทรายสีขาวและน้ำทะเลสีเขียวใสสะอาดตามสไตล์อันดามัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อยอดฮิตโดนใจคนรุ่นใหม่และสายสุขภาพไม่แพ้กันเลย นั่นก็คือการปีนผา และที่นี่ก็เป็นสถานที่สุดฮิตติดท็อปโลกของคนรักการปีนผาเป็นชีวิตจิตใจ และต้องการสร้างประสบการณ์ท้าทายในชีวิตให้กับตนเอง

โดยกิจกรรมนี้จะมีการฝึกทักษะให้กับคนที่เพิ่งจะเริ่มปีนไปจนถึงปีนในระดับที่เชี่ยวชาญแล้ว ซึ่งการปีนผาจะมีหลายระดับ ตั้งแต่ที่เรียกว่า Bouldering หรือการปีนในระดับไม่สูงมาก และจะมีการปีนไปในทางซ้ายและทางขวาเพื่อฝึกความแข็งแรง และเพื่อเตรียมร่างกายของคนที่เพิ่งจะเริ่มปีนใหม่

 ระดับ Free Climbing คือการปีนผาสูงโดยต้องมีอุปกรณ์ป้องตัวเองในการตกลงสู่พื้นดิน ซึ่งการปีนในระดับนี้ผู้ปีนจะต้องมีทักษะที่เชี่ยวชาญพอสมควร ทั้งในเรื่องของการปีนและการใช้อุปกรณ์

ส่วนอีกระดับหนึ่งเราเรียกว่า Sport Climbing มีลักษณะที่คล้ายกับ Free Climbing กีฬายอดนิยมและได้รับการติตดามสูงสุดจากสมาชิกบน Fun88 Sport แต่เนื่องด้วยมีการทำจุดเตือนเพื่อป้องกันการตกมา จึงทำให้มีความปลอดภัยกว่า และการปีนผาในประเภทนี้ก็กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาอ่าวจำนวนมาก

โดยในอ่าวไร่เลย์จะมีอยู่สองฝั่ง คือโซนฝั่งตะวันออกและตะวันตก ซึ่งในแต่ละโซนก็จะมีความยากง่ายที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่คนที่ชอบท้าทายมักจะเลือกปีนในฝั่งตะวันออก เพราะมีความยากมากกว่าทางฝั่งตะวันตก

ในการปีนเขาที่อ่าวไร่เลย์นั้น นอกจากความสูงของหน้าผาคือความเหนื่อยยากและลำบากไม่ใช่น้อยกว่าจะสามารถปีนขึ้นไปได้ แต่ของรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับนักปีนเขาทุก ๆ คนก็คือวิวทิวทัศน์โดยรอบ ที่มีทั้งถ้ำอ่าวพระนาง และทะเลอันดามันที่กว้างใหญ่ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เห็นภาพอันสวยงามเช่นนั้นได้ นับเป็นกำไรอย่างหนึ่งที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ปีนผาที่อ่าวไร่เลย์ สร้างได้ สร้างความสุข สร้างความท้าทาย

กีฬาการปีนผา ถือเป็นกีฬายอดนิยมอีกชนิดหนึ่งในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นโชคดีสำหรับประเทศไทยที่มีสถานที่ปีนผาสวยงามและมีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะในหมู่ชาวต่างชาติ ถือเป็นเรื่องดีในการทำรายได้จำนวนไม่น้อยเข้าสู่ประเทศในการท่องเที่ยวเชิงกีฬา และนอกจากนี้หากใครสนใจต้องการหาเวลาไปพักผ่อน เปลี่ยนความเหนื่อยล้าจากการทำงานเป็นความตื่นเต้นสุดมัน สามารถไปที่อ่าวไร่เลย์ได้ หรือสามารถจัดหาทริปเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางยิ่งขึ้นโดยอ่าวไร่เลย์จะเปิดให้บริการทุกวัน ถือว่าพลาดไม่ได้สำหรับคนที่อยากหาประสบการณ์ในรูปแบบของการผจญภัยและต้องการวิวสวย ๆ ของทะเลอันดามันให้ชมไปในตัว

“ท้องฟ้าจำลอง” สถานที่ที่ไม่ได้เหมาะแค่กับเด็กน้อย

“ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา” เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวิทยาศาสตร์ ที่ถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2495
ในนาม “กองอุปกรณ์การศึกษา” โดยท้องฟ้าจำลองกรุงเทพและหอดูดาว ถูกอนุมัติให้สร้างขึ้นภายใต้การดูแลของกองอุปกรณ์การศึกษา โดย มล.ปิ่น มาลากุล ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาธิการในขณะนั้น โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระนางเจ้าสิริกิติ์เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดให้เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2507 ซึ่งเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติพอดี โดยในเวลาต่อมากองอุปกรณ์การศึกษาก็ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ในปี พ.ศ.2537

หากเพื่อน ๆ คนใดสนใจเข้าเยี่ยมชมที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ก็สามารถทำได้ไม่ยากเย็นอะไร  เพียงแค่โดยสาร รถไฟฟ้า BTS มาลงที่สถานีเอกมัย แล้วเดินต่อมาอีกหน่อยก็จะพบกับบริเวณที่เป็นจุดจำหน่ายบัตรเพื่อเข้าชมนิทรรศการต่าง ๆ และท้องฟ้าจำลอง โดยราคาบัตรเข้าชมท้องฟ้าจำลองนั้นแบ่งเป็น 2 ราคา คือรอบภาษาไทย (ผู้ใหญ่ 30 บาท และ 20 บาท สำหรับเด็ก ๆ) กับอีกประเภทที่เป็นรอบภาษาอังกฤษ (ผู้ใหญ่ 50 บาท และ 30 บาท สำหรับเด็ก ๆ) นอกจากนี้ยังมีบัตรเข้าชมนิทรรศการประเภทอื่น ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์, โลกใต้น้ำ และส่วนที่จัดแสดงธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ให้เด็ก ๆ และผู้ปกครองเลือกเข้าชมตามอัธยาศัย

สำหรับใครก็ตามที่หลงใหลการดูดาวเป็นชีวิตจิตใจ ขอบอกเลยว่าท่านไม่ควรพลาดที่จะมาเยี่ยมชมที่ ณ ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพดูสักครั้ง และไม่ว่าท่านจะเป็นเด็ก หรือวัยหนุ่มสาว ก็สามารถมาท่องเที่ยวได้อย่างไม่จำเป็นต้องเขินอาย อย่างที่เขาบอกกันว่าต่อให้เราโตแค่ไหน ผ่านวุฒิการศึกษาอะไรมามากน้อยเพียงใดก็ตาม แต่การเรียนในชีวิตนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ยังมีอีกหลากหลายเรื่องราวที่เรายังไม่เคยพบ เคยเจอ หรือเคยรู้มาก่อน ดังนั้นขอให้เปิดใจให้กว้าง แล้วเตรียมพบกับความตื่นตาตื่นใจที่เจ้าหน้าที่และทางหน่วยงานได้จัดเตรียมไว้คอยให้บริการอยู่ และสำหรับใครที่เคยมาท่องเที่ยวแล้วนั้น ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะรู้สึกเบื่อหรือไม่สนุก ไม่น่าสนใจเหมือนเมื่อที่เคยมาครั้งแรก เพราะทางหน่วยงานได้มีการปรับปรุงเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ให้มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

ส่วนแสดงท้องฟ้าจำลองประกอบไปด้วยห้องมืด ที่เรียกว่า “ห้องฉายดาว” ซึ่งเป็นห้องทรงกลมสูงประมาณ 3 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางห้องประมาณ 20.60 เมตร โดยใช้แผ่นอลูมิเนียมสีขาวที่มีความพรุนบุเป็นเพดานของโดมเพื่อรับภาพแสงของดวงดาวที่จะถูกฉายออกมาจากเครื่องฉายดาวของบริษัทสัญชาติเยอรมนี อย่าง คาร์ล ไซซ์ ซึ่งให้บริการเครื่องฉายดวงดาวระบบเลนส์ ใครก็ตามที่มีโอกาสได้ดูดาวจากเครื่องฉายนี้ขอให้ภูมิใจเถิดว่าได้มีโอกาสดูดาวจากเครื่องฉายดาวสุดไฮเทค ที่มีระบบการทำงานค่อนข้างซับซ้อน และเป็นเครื่องแรกที่มีขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์

และนอกจากส่วนการแสดงต่าง ๆ ในห้องโดมแล้ว เพื่อน ๆ ยังสามารถหาความรู้ทางด้านดาราศาสตร์เพิ่มเติมได้จากนิทรรศการที่จัดอยู่ในห้องใกล้เคียง อันประกอบไปด้วย “นิทรรศการส่วนโลกดาราศาสตร์ ชีวิตสัมพันธ์กับดวงดาวอย่างไร โลกและการกำเนิดชีวิต ความเป็นไปในเอกภพ และมนุษย์กับการสำรวจอวกาศ” เรียกได้ว่า ณ ที่นี้ เด็กมาได้ ผู้ใหญ่มายิ่งดี เพราะว่ามาที่นี่ให้ทั้งสาระความรู้  ความสนุกสนานและความบันเทิงอย่างครบครัน

ท่องเที่ยวด้วยใจไปกับรถไฟสายมรณะ ที่กาญจนบุรี

หากนึกถึงการท่องเที่ยวด้วยรถไฟแล้วล่ะก็ จังหวัดหนึ่งที่มักจะถูกนักท่องเที่ยวทั้งหลายนึกถึงมาเป็นอันดับต้น ๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นจังหวัดที่มากไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันหลากหลายและสวยงามที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศไทยอย่างจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งการเดินทางไปก็สุดแสนจะง่ายดาย เนื่องจากว่าทางการรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดตารางการท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับไว้ให้กับนักท่องเที่ยวทุกท่านที่สนใจเรียบร้อยแล้ว

แค่ท่านกำเงินประมาณ 120 บาท สำหรับรถนั่งธรรมดาชั้น 3 หรือ 240 สำหรับรถนั่งปรับอากาศชั้น 2 แล้วเดินเข้าไปซื้อตั๋ว เพียงเท่านี้ท่านก็มีโอกาสเป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสไปดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งประวัติศาสตร์ในเส้นทางรถไฟสายมรณะนี้ แต่ต้องแอบกระซิบกันก่อนว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะสามารถได้สิทธิ์นี้ เพราะต้องบอกเลยว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่ชอบเดินทางโดยรถไฟ ดังนั้นถ้าจะให้ดีท่านควรจองตั๋วล่วงหน้าก่อนการเดินทางซักระยะเวลาหนึ่งจะเป็นการดีที่สุด ซึ่งการจองตั๋วก็สามารถทำได้ง่ายดาย ทั้งแบบจองออนไลน์ หรือจองผ่านศูนย์บริการข้อมูลลูกค้าสัมพันธ์ ที่หมายเลข 1690 เพียงเท่านี้ท่านก็อุ่นใจได้เลยว่าท่านจะไม่ตกรถไฟขบวนนี้อย่างแน่นอน

สำหรับตารางการเดินทางนั้น รถไฟขบวนนี้จะออกจากกรุงเทพ ที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเวลา 06.30 น. จากนั้นสถานที่แรกที่จะไปแวะพัก ก็คือ สถานีรถไฟนครปฐม โดยที่จุดแรกนี้นักท่องเที่ยวจะได้มีโอกาสไปสักการะองค์พระปฐมเจดีย์ เป็นระยะเวลาประมาณ 40 นาที หรือหากใครใคร่เดินเลือกซื้อของกินบริเวณแถว ๆ สถานีรถไฟนั้นก็ย่อมทำได้ เนื่องจากบริเวณนั้นจะมีพ่อค้าแม่ขายมาคอยบริการนักท่องเที่ยวให้ได้เลือกซื้อเลือกหาสินค้าตามความพึงพอใจ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าหากใครที่ต้องการไปสักการะองค์พระปฐมเจดีย์แล้วล่ะก็ ควรรีบทำเวลาให้ดีดี เนื่องจากดูเผิน ๆ ระยะทางจากตัวสถานีมาถึงองค์พระฯ อาจดูไม่ไกลมากนัก แต่เชื่อเถอะว่าหากมัวอ้อยอิ่งอาจทำให้ท่านต้องตกรถไฟได้

ต่อจากนั้นรถไฟจะพาท่านไปแวะพักอีกทีบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว เวลาประมาณ 09.35 น. เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสลงไปถ่ายรูปกับวิวแม่น้ำและสะพาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของการท่องเที่ยวในครั้งนี้ นอกจากนี้หากใครใจดีก็อาจจะทำบุญเพื่อช่วยบริจาคทุนการศึกษาให้กับเด็ก ๆ ที่มักจะมาตั้งวงดนตรีร้องเพลงเพื่อหาเงินค่าเล่าเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ พอให้เป็นสีสันแก่สถานที่แห่งนี้ได้มากพอสมควร

จากนั้นเวลาประมาณ 11.00 น. ขบวนรถไฟก็จะเดินทางถึงถ้ำกระแซอันเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การสร้างทางรถไฟอันลือเลื่องในอดีต เมื่อครั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อจากนั้นท่านจะเดินทางถึงยังบริเวณสถานีรถไฟน้ำตกไทรโยคน้อย ทุกคนก็ได้เวลาแยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัย บางคนก็ไปเล่นน้ำตกกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือบางคนอาจหาอาหารกลางวันรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย

แต่สำหรับใครที่คิดว่ายังเดินทางไม่จุใจก็อาจจะเหมาสองแถว หรือเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับต่อไปยังสถานที่อันเป็นอีกหนึ่งตำนานประวัติศาสตร์อย่างช่องเขาขาด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดแวะพักของรถไฟมากนัก บอกเลยว่าการได้ขับมอเตอร์ไซค์ท้าทายลมแห่งขุนเขาประกอบกับวิวสองข้างทางนั้นช่างคุ้มค่ากับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดจริง ๆ แต่อย่างไรก็ดีท่านจะต้องคอยควบคุมเวลาของท่านให้ดีดี มิเช่นนั้นขากลับท่านอาจต้องอาศัยรถโดยสารประเภทอื่นกลับกรุงเทพแทนรถไฟก็เป็นได้

สำหรับช่วงการเดินทางขากลับนั้น เมื่ออิ่มเอมกับการชมวิวทั้งทิวเขาและแม่น้ำจากขามาแล้ว ก็เหลือเพียงแค่ลุ้นให้รถไฟของท่านแล่นให้เร็วพอที่จะสามารถแวะเที่ยวชมสุสานทหารพันธมิตรที่จะปิดทำการในเวลา 17.00 น. ให้จงได้ แต่หากไม่ทัน ก็เพียงแค่ย้อมใจด้วยของกินอร่อย ๆ ที่พนักงานรถไฟจะคอยถามไถ่ให้ท่านสั่งอาหารอยู่เป็นระยะ ๆ ขอบอกเลยว่าของกินที่จะพลาดไปเสียไม่ได้ในทริปนี้ หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันนั้น ก็คือ ก๋วยเตี๋ยวแห้ง  เป็ดทอด และขนมหม้อแกงรสชาติดี และเมื่ออิ่มหนำสำราญกับอาหารต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายจากสหายนักเดินทางทั้งหลาย เพราะเวลาประมาณ 19.25 น. นั้น รถไฟก็จะถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพนั่นเอง

ไปเมื่อไรตกหลุมรักเมื่อนั้นกับตัวเมืองเล็ก ๆ นามว่า “อุทัยธานี”

“อุทัยธานี” เป็นหนึ่งในจังหวัดที่ตั้งอยู่ภาคกลางของประเทศไทย มีแม่น้ำที่สำคัญไหลผ่านด้วยกันสองสาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำสะแกกรัง หากถามนักท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไปแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองอุทัยธานีนั้น ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะนึกถึงกันมากสักเท่าไหร่ บางคนก็อาจจะมีโอกาสแค่ผ่านไปผ่านมากับถนนสายหลักที่ใช้เดินทางขึ้นเหนือได้อีกหนึ่งเส้นทาง แต่เชื่อเหลือเกินว่าหากใครก็ตามที่ได้มีโอกาสแวะเวียนเข้ามาเที่ยวยังตัวเมืองอุทัยธานีแห่งนี้ ก็คงจะตกหลุมรักเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ไม่ยาก

ดูเผิน ๆ แล้วตัวเมืองอุทัยธานีอาจไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจมากเท่ากับสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอื่น แต่หากพิจารณาให้ดีแล้วมนต์เสน่ห์ที่ชวนให้หลงใหลก็คงจะเป็นความสงบเงียบ และการดำเนินชีวิตของชาวบ้านในชุมชนที่เป็นไปอย่างไม่รีบเร่งเฉกเช่นคนในเมืองใหญ่อื่น ๆ นี้เอง เพราะบางครั้งการที่เราได้มีโอกาสอยู่กับใจตนเองเงียบ ๆ ก็เป็นการพักผ่อนจิตใจที่ดีที่สุดอีกทางหนึ่งได้เหมือนกัน แต่จะว่าไปแล้วสถานที่ท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นในตัวเมืองเอง หรือบริเวณใกล้เคียงก็มีให้นักท่องเที่ยวไปสัมผัส ไปเยี่ยมชมจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น

วัดสังกัสรัตนคีรี

วัดสังกัสรัตนคีรี หรือที่รู้จักกันดีในชื่อวัดเขาสะแกกรัง เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของเมืองอุทัยธานี โดยถูกสันนิษฐานว่าวัดนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2443 ตั้งอยู่บนยอดเขาสะแกกรังซึ่งตั้งอยู่บริเวณตะวันตกของตัวเมืองอุทัยธานี ทำให้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองอุทัยธานีเบื้องล่าง ที่ถูกขนาบไปด้วยขุนเขาทางด้านซ้ายและแม่น้ำสะแกกรังทางด้านขวา ณ ที่แห่งนี้มีประเพณีที่สำคัญประจำจังหวัดอย่างประเพณีตักบาตรเทโว ที่มักจะถูกจัดขึ้นทุกปี ในทุก ๆ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ดังที่ระบุไว้ในคำขวัญของจังหวัดอุทัยธานี

วัดจันทาราม

วัดจันทาราม หรือที่มักจะได้ยินผู้คนที่เคยผ่านไปผ่านมาเรียกกันจนติดปากว่า “วัดท่าซุง” ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมที่วิจิตรงดงาม อาทิ วิหารแก้ว 100 เมตร ซึ่งภายในประดับไปด้วยกระจกทั้งหลังและยังเป็นที่เก็บสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลาของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำอันเป็นที่นับถือของลูกศิษย์มากมาย ปราสาททองคำ (กาญจนาภิเษก) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปมากมายที่ประชาชนผู้มีจิตศรัทธานำมาถวายไว้ พิพิธภัณฑ์สมบัติพ่อให้ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงที่พักจำลองรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่หลวงพ่อฤษีลิงดำเคยใช้ และที่พักปฏิบัติธรรมพินิจอักษร ที่มีไว้เพื่อให้ผู้ที่ต้องการมาปฏิบัติธรรม หรือแม้แต่บุคคลทั่วไปที่สนใจเข้ามาพักค้างคืนได้เพียงแต่ต้องทำตามกฎระเบียบที่ทางวัดวางไว้อย่างเคร่งครัดเท่านั้น โดยราคาค่าที่พักก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของห้องพัก

นอกจากวัดวาอารามที่กล่าวถึงแล้ว เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของสถานที่แห่งนี้คงหนีไม่พ้นตลาดประจำเมือง ที่มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่าง พิพิธภัณฑ์บ้านจงรัก บ้านนกเขา ตลาดเก่าตรอกโรงยา และสถานที่อื่น ๆ ที่น่าไปท่องเที่ยวอย่างบริเวณที่ตั้งหมุดแผนที่โลก ณ ยอดเขาสะแกกรัง ที่สามารถใช้เป็นจุดชมวิวได้ทั้งยามพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกดิน และสิ่งที่ขาดไปไม่ได้สำหรับที่นี่คือร้านขายของกินที่การันตีความอร่อยอย่างโกตี๋ข้าวมันไก่ เจ๊โหนกก๋วยเตี๋ยวไก่ ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ และร้านไพพรรณขนมปังสังขยา เป็นต้น อย่างไรก็ดีหากใครมีโอกาสก็ขอให้ลองเปิดใจไปเที่ยวอุทัยธานี เมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบแห่งนี้กันดูสักครั้ง แล้วเรามาดูกันว่าคุณจะตกหลุมรักสถานที่แห่งนี้จริงหรือไม่

อยุธยาเมืองเก่า ควรค่าให้เราเที่ยวชม

“อยุธยาเมืองเก่า” เป็นสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวไม่ว่าหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ส่วนใหญ่ต้องเคยผ่านไปผ่านมา ณ สถานที่แห่งนี้ไม่มากก็น้อย เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครเท่าไหร่นัก อีกทั้งการเดินทางก็แสนจะสะดวกง่ายดาย ไม่ว่าจะขับรถส่วนตัวไปกันเป็นครอบครัวหมู่เพื่อนฝูง หรือนั่งรถไฟชิลล์ ๆ ไปกันแบบคู่รักวัยรุ่น หรือจะเป็นการนั่งเรือชมบรรยากาศของสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตามประสาคนมีอายุ ก็สามารถทำได้ด้วยกันทั้งนั้น

นอกจากนี้ที่นี่ยังมีกิจกรรมสุดคลาสสิคที่รับรองว่าหากได้ลองทำแล้วกำลังขาของท่านจะต้องแข็งแรงขึ้นแน่นอน ซึ่งกิจกรรมนั้นก็ คือ การออกแรงปั่นจักรยานท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ รอบเกาะเมืองเก่า แค่อ่านดูก็น่าตื่นเต้นกันแล้วใช่ไหมล่ะ เราไปดูกันดีกว่าว่าเส้นทางปั่นจักรยานรอบเกาะเมืองของอยุธยานั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวใดน่าสนใจ ควรค่าแก่การแวะเที่ยวชมกันบ้าง

วัดมหาธาตุ

เชื่อเหลือเกินว่าหากให้นึกถึงวัดซักแห่งหนึ่งในอยุธยาที่ต่อให้คนส่วนใหญ่จะจำชื่อไม่ได้ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพของเศียรพระที่อยู่ในรากไม้นั้น เป็นภาพที่ใคร ๆ ต่างก็เห็นกันจนชินตา ไม่ว่าจะเป็นตามหน้าหนังสือนิตยสารการท่องเที่ยว หรือตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งเศียรพระพุทธรูปนี้คาดกันว่าถูกตัดออกจากองค์และหล่นมาอยู่ใต้ต้นโพธิ์ในสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งสุดท้ายให้แก่พม่า และเมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปเศียรพระพุทธรูปก็จึงได้ปรากฏอยู่อยู่ในรากของต้นโพธิ์ที่อยู่ในวัดมหาธาตุอย่างที่เราท่านเห็นกัน ส่งผลให้วัดนี้เป็นที่สนอกสนใจแก่นักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาทั้งชาวไทยด้วยกันเองและชาวต่างชาติต่างภาษา

วัดราชบูรณะ

หากข้ามถนนจากบริเวณทิศเหนือของวัดมหาธาตุก็จะพบกับวัดราชบูรณะ ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใกล้ ๆ กัน โดยวัดนี้โด่งดังเป็นอย่างมากจากกรณีข่าวว่ามีโจรเข้ามาขโมยสมบัติจากกรุวัดราชบูรณะ เรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับอาถรรพ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่คิดไม่ดีต่อสมบัติของชาติบ้านเมือง จนมีผู้นำเค้าโครงเรื่องนี้มาผูกและแต่งเป็นนวนิยายขายดี ตลอดจนนำมาผูกปมสร้างเป็นละครให้คนไทยได้รับชมกันหลายต่อหลายเรื่อง นอกจากเรื่องเล่าต่าง ๆ แล้ว ณ วัดแห่งนี้ก็เป็นโบราณสถานที่สำคัญที่สันนิษฐานกันว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เจ้าสามพระยา เป็นสถานที่ที่ย้ำเตือนให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงความรุ่งเรืองในอดีตที่เคยมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวง

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นพระราชปรารภของพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงให้สร้างขึ้น เนื่องมาจากการขุดค้นพบพระพุทธรูป และสมบัติต่าง ๆ ภายในองค์พระปรางค์ วัดราชบูรณะ ซึ่งมีคุณค่าความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเหตุที่พิพิธภัณฑ์ใช้ชื่อนี้ก็เนื่องมาจากเพื่อเป็นการระลึกถึงเจ้าสามพระยา ซึ่งทรงเป็นผู้สถาปนาวัดราชบูรณะนั่นเอง โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 16.00 น.

และนอกจากสถานที่ดังกล่าวแล้วนั้น เมืองเก่าอย่างอยุธยาก็ยังมีหลากหลายสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวชม เช่น วัดพระศรีสรรเพชญ์ วิหารพระมงคลบพิตร ศาลหลักเมือง วัดไชยวัฒนาราม วัดนิเวศธรรมประวัติ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และตลาดน้ำกรุงศรี เป็นต้นอย่างไรก็ตามหากอยากให้เยาวชนรุ่นลูกรุ่นหลานของเรามีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ไว้ศึกษากันอีกตราบนานเท่านาน วิธีง่ายที่จะช่วยกันอนุรักษ์สถานที่เหล่านี้เอาไว้ ก็เพียงแค่ท่องเที่ยวอย่างมีจิตสำนึก ไม่ทิ้งขยะหรือขีดเขียนลงไปบนโบราณวัตถุ หรือโบราณสถานอันล้ำค่าเหล่านั้นเท่านี้ก็เพียงพอ

ท่องเที่ยวเนิบ ๆ สไตล์นักเดินทางสายชิลล์กับสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องห้ามพลาดในตัวเมืองน่าน

จังหวัดน่าน เป็นจังหวัดเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย เป็นหนึ่งในจังหวัดที่เป็นประตูไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้องของไทยอย่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มนต์เสน่ห์ของจังหวัดนี้ คือ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะหลงผ่านเข้าไปเยือนยังสถานที่แห่งนี้ แต่ต้องเป็นคนที่ต้องตั้งใจไปจริง ๆ เนื่องจากเส้นทางเข้าสู่จังหวัดนี้เป็นเส้นทางที่ไม่ผ่านจังหวัดใด ๆ เลยนั่นเอง ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องห้ามพลาดในตัวเมืองน่านที่อยากแนะนำประกอบไปด้วยสถานที่ดังต่อไปนี้

วัดภูมินทร์

นักท่องเที่ยวน้อยคนนักที่เมื่อได้มีโอกาสมาเยือนเมืองน่าน แล้วจะไม่แวะมาสักการะพระพุทธรูป ณ วัดภูมินทร์แห่งนี้ เนื่องด้วยวัดแห่งนี้มีจิตกรรมฝาผนังอันมีชื่อเสียงโด่งดังประจำจังหวัดน่านอย่าง “ปู่ม่านย่าม่าน” เรื่องราวของคู่รักหญิงชายที่กำลังทำท่าทางกระซิบกัน จนได้รับการเรียกขานกันอีกหนึ่งชื่อว่าภาพ “กระซิบรักบันลือโลก” ซึ่งเป็นผลงานมีชื่อของ
จิตกรฝีมือประณีตเชื้อสายไทลื้ออย่าง “หนานบัวผิน” อีกทั้งวัดแห่งนี้ยังมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก คือ
“พระอุโบสถจตุรมุข” ซึ่งภายในประดิษฐานองค์พระประธานจตุรทิศ 4 องค์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยตั้งหันหน้าออกประตูทั้ง 4 ทิศ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การมาเยี่ยมชมด้วยกันทั้งสิ้น

วัดพระบรมธาตุแช่แห้ง

เป็นที่ทราบกันดีว่าวัดพระบรมธาตุแช่แห้งเป็นพระอารามหลวง ซึ่งเป็นพระธาตุที่คนเกิดปีเถาะจะต้องหาโอกาสมานมัสการกันให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะสำหรับคนที่มีความศรัทธาที่แรงกล้าแล้วนั้น การได้สักการะพระธาตุประจำปีเกิดเป็นอะไรที่เชื่อกันว่าน่าจะได้อานิสงส์ผลบุญเป็นอย่างมาก ซึ่งสถานที่ตั้งของพระธาตุแห่งนี้ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเมืองน่านมากนัก เพียงแค่ใช้เส้นทางถนนทางหลวงหมายเลข 1168 มุ่งไปทางทิศตะวันออกโดยข้ามแม่น้ำน่านไปเป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร จากวัดภูมินทร์ ทั้งนี้หากนักท่องเที่ยวท่านใดที่ถึงแม้จะไม่ได้เกิดปีเถาะแต่ก็สามารถมาสักการะ มาเยี่ยมชมสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้ ด้วยเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดน่านมาอย่างช้านาน

วัดพระธาตุเขาน้อย

ณ บริเวณพื้นที่ทางตะวันตกของตัวเมืองน่าน เป็นสถานที่ตั้งของวัดพระธาตุเขาน้อย ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ของดอยเขาน้อย ในเขตพื้นที่ตำบลดู่ใต้ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน จุดเด่นของวัดแห่งนี้ คือ จุดชมวิวทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นตัวเมืองน่านได้อย่างสุดลูกหูลูกตา และที่บริเวณนี้ยังมีพระพุทธรูปปางประธานพรซึ่งถูกสร้างขึ้นในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ เมื่อปี พ.ศ.2542 โดยมีชื่อว่าพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ซึ่งถูกประดิษฐานอยู่บนฐานดอกบัวที่สูงถึง 9 เมตร หันหน้าออกสู่ทางด้านทิศตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวเมืองน่านและแม่น้ำน่าน

อย่างไรก็ดีนอกจากสถานที่ต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ตัวเมืองน่านยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑสถาน วัดวาอาราม หรือร้านอาหาร ตลอดจนร้านขนมมากมายรอคอยให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยม มาชิมมาชม และ ได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตการท่องเที่ยวแบบเนิบ ๆ กับที่เมืองน่านแห่งนี้ดูสักครั้ง ไม่แน่ว่าจังหวัดที่คุณไม่เคยตั้งใจมาอาจเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สงบน่าหลงใหลจนคุณลืมไม่ลงเลยก็เป็นได้

“ดอยเสมอดาว” พาใจเราไปอยู่กับเขา

หากใครเคยได้มีโอกาสไปเยือนยังจังหวัดเล็ก ๆ ทางภาคเหนือที่ผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างสงบสุขนามว่าจังหวัดน่าน คงจะมีบ้างที่จะต้องมีคนรู้จักกับอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 3 อำเภอของจังหวัดน่าน ได้แก่ อำเภอนาน้อย อำเภอนาหมื่น และอำเภอเวียงสา ซึ่ง “ดอยเสมอดาว” นั้นก็เป็นหนึ่งในดอยที่อยู่ในเขตพื้นที่ของเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ซึ่งตั้งอยู่ ณ ตำบลศรีสะเกษ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคนต่างอยากมีโอกาสได้ไปสัมผัสกับอากาศดี ๆ กับบรรยากาศของขุนเขาและไอหมอกกันสักครั้งหนึ่ง ด้วยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวสามารถไปเยือนได้อย่างสะดวกง่ายดาย เป็นที่หมายปลายทางที่สามารถนำรถไปส่งได้แทบจะถึงบริเวณจุดชมวิว หรืออย่างน้อยก็ออกแรงเดินเพียงไม่นานเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวแนวเดียวกันอื่น ๆ

ณ ที่แห่งนี้เหมาะอย่างยิ่งกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางกันมาเป็นครอบครัว ไม่ว่าสมาชิกของครอบครัวนั้น ๆ จะประกอบด้วยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน หรือกระทั่งผู้สูงอายุ เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่าสถานที่แห่งนี้นั้นสามารถเดินทางไปมาได้อย่างสะดวก และที่สำคัญมากไปกว่านั้นบรรยากาศด้านบนดอยก็เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง เหตุเพราะนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปสัมผัสลมหนาว หรืออากาศเย็นด้านบนได้เกือบตลอดทั้งปี เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นได้ทั้งทะเลหมอกและแสงอาทิตย์แรกยามเช้า ตลอดจนแสงสุดท้ายคราที่ตะวันตกดิน แม้แต่ในยามค่ำคืนเองในวันที่ท้องฟ้าเป็นใจ ก็มีทะเลดาวให้ได้ชมกันอย่างเต็มอิ่ม เรียกได้ว่านอกจากจะเป็นดอยที่เข้าถึงง่ายแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับไปนั้นครบทุกบรรยากาศไม่แพ้ยอดเขาที่ต้องบากบั่นไปเป็นหลายกิโลเมตรเลยทีเดียว

สำหรับการเดินทางไปยังสถานที่แห่งนี้ ที่บอกกันว่าเดินทางไปได้ง่าย ๆ ก็เพราะสามารถเดินทางไปถึงด้วยรถส่วนตัว โดยขับรถออกจากตัวเมืองนาน้อย ไปตามถนนทางหลวงหมายเลข 1083 หรือที่รู้จักกันในชื่อถนนสายนาน้อย – ปางไฮ แต่ผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถควรจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการบังคับยานพาหนะให้ดี เนื่องจากถนนค่อนข้างคดเคี้ยวตลอดเส้นทาง หรือหากจะใช้บริการรถโดยสารสาธารณะก็ทำได้โดยง่าย เพราะหากออกเดินทางจากกรุงเทพด้วยรถทัวร์สายกรุงเทพ – น่าน แล้วก็เพียงแค่ลงรถที่อำเภอเวียงสา จากนั้นให้ต่อเที่ยวรถประจำทางสายเวียงสา – นาน้อย – นาหมื่น เพื่อลงตรงบริเวณสามแยกบ้านใหม่ จากนั้นเพียงแค่เหมารถสองแถวที่มีไว้บริการบริเวณนั้นก็สามารถไปถึงยังทางเข้าอุทยานฯ ได้ไม่ยาก

ด้วยข้อดีต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น ทำให้ดอยเสมอดาวเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจ ที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายไม่ควรพลาดที่จะไปสัมผัสกับบรรยากาศดังกล่าวด้วยตัวเองกันสักครั้ง พาใจเราไปพบกับเขา ไปอยู่กับเขา เพื่อชาร์จพลังกายพลังใจให้ตนเองได้กลับมามีแรงสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับโลกใบนี้กันต่อไป

เที่ยวชายหาดชิว ๆ ชมวิวเพลิน ๆ ที่พัทยากันดีกว่า

พัทยายังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ที่นักท่องเที่ยวที่ร่างกายต้องการทะเลเลือกที่จะไป เพราะนอกจากจะมีทะเลให้นั่งชิว ๆ และพักผ่อนตามอัธยาศัยแล้ว ยังมีสถานบันเทิงมากมาย ดังนั้นนอกจากพัทยาจะเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยแล้ว นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวที่กรุงเทพฯ และอยากไปเที่ยวชายหาดเมืองไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็มักจะเลือกมาเยือนพัทยาเช่นกัน

แต่เดิมพัทยาเป็นเมืองชาวประมงเล็ก ๆ ในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ชายหาดของพัทยาจะเป็นชายหาดรูปทรงครึ่งวงกลม เว้าเข้าบนบก ในอดีตสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้เคยเดินทางมาพักทัพที่พัทยา นั้นเป็นที่มาของสัญลักษณ์ประจำเมืองพัทยา ที่เป็นรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงม้าด้านหน้าชายหาดนั้นเอง ต่อมาเนื่องจากพัทยามีความสวยงามและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว ทำให้เมืองรุดหน้าพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในปี พ.ศ. 2521 พัทยาได้ถูกเปลี่ยนการปกครองของสุขาภิบาลนาเกลือไปเป็นการปกครองรูปแบบท้องถิ่นพิเศษ มีฐานะเทียบเท่าเทศบาลนคร

โดยพัทยานั้นแบ่งออกเป็นพัทยาเหนือ พัทยากลางและพัทยาใต้ โดยแต่ละแห่งก็จะมีเอกลักษณ์ทีแตกต่างกันไปเล็กน้อย

พัทยาเหนือ เป็นย่านชุมชนเก่า มีอาคารบ้านเรือนแบบโบราณและร้านอาหารอร่อย ๆ หลายแห่ง นอกจากนั้นยังมีทิฟฟานี่โชว์อีกด้วย

พัทยากลาง เป็นจุดที่รวมแหล่งชอปปิ้งและห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เช่น เซ็นทรัลเฟสติวัล ที่เป็นห้างสรรพสินค้าริมหาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และสถานบันเทิงแบบอะโกโก้และร้านเบียร์มากมาย รวมถึงพิพิธภัณฑ์ชื่อดังระดับโลกอย่าง พิพิธภัณฑ์ริปลีส์

พัทยาใต้ เป็นที่ตั้งของถนนคนเดินและสถานบันเทิงมากมาย หรือหากจะข้ามไปยังเกาะอื่น ๆ ก็สามารถใช้บริการท่าเรือที่แหลมบาลีฮายได้

พัทยาเต็มไปด้วยร้านอาหารทะเลมากมาย ให้นักท่องเที่ยวได้ไปลองรับประทานไป ชมวิวไป โดยร้านอาหารติดทะเลของพัทยานั้นมีมากมายหลายร้านและหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป โดยร้านอาหารที่เป็นที่นิยมปัจจุบันจะเป็นร้านน่ารัก ๆ สไตล์คาเฟ่ริมทะเล ที่นอกจากจะบริการอาหารแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถถ่ายรูปเล่นในบริเวณร้านได้อีกด้วย

พัทยานั้นขึ้นชื่อเรื่องโรงแรมที่พักมากมาย ทั้งโรงแรมหรูไปจนถึงโฮสเทล ดังนั้นจึงมีนักท่องเที่ยวมากมายหลายแบบที่เดินทางมาพักผ่อนและหาความสนุกกับเมืองท่องเที่ยวชายทะเลแห่งนี้ ทางหน่วยงานรัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของเมืองพัทยา จึงได้มีการจัดระเบียบรูปแบบของร่มเตียงในพัทยาให้มีความเป็นระเบียบ ราคาสมเหตุสมผล ไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปี พ.ศ. 2560 ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยให้พัทยาเป็นเมืองที่น่าเที่ยวมากขึ้น

นอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายน่าสนใจแล้ว พัทยายังเป็นเมืองท่าที่จะข้ามไปยังเกาะล้าน สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่มีความสวยงามไม่แพ้หาดพัทยา โดยใช้เวลาเดินทางจากพัทยาจากแหลมบาลีฮายในพัทยาใต้ไปยังเกาะล้านเพียงแค่ประมาณ 45 นาทีเท่านั้น

แน่นอนว่าพัทยาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเจริญ ดังนั้นจึงอาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่แสวงหาการพักผ่อนริมทะเลที่สงบ แต่นักท่องเที่ยวชื่นชอบความมีชีวิตชีวาและความบันเทิงยามค่ำคืน ไม่น่าเบื่อ พัทยาก็ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว

เหมืองปิล็อกแห่งบ้านอีต่อง ดินแดนกลางหุบเขา เที่ยวได้แม้หน้าฝน

เหมืองปิล็อกและหมู่บ้านอีต่อง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ติดกับชายแดนไทย-พม่า ในเขตอำเภอทองผาภูมิจังหวัดกาญจนบุรี ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดยังฮิตสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ เยี่ยมชมหมู่บ้านที่ยังคงความเรียบง่ายและมีเอกลักษณ์แบบพื้นเมือง ที่ผู้คนเคยประกอบอาชีพทำเหมืองแร่มาแต่โบราณ อีกทั้งยังเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในสายหมอกและเหมาะกับการมาเที่ยวในหน้าฝนเป็นที่สุด

จากเมืองที่อดีตเคยเจริญรุ่งเรืองจากการทำเหมืองแร่ ปัจจุบันกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ สำหรับสัมผัสอากาศบริสุทธิ์และพักผ่อนหย่อนใจ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเรียบง่ายและเงียบสงบจริง ๆ เหมือนกับการ Shut Down สมอง หรือทำ Social Media Detox ขับสารพิษที่เกิดขึ้นจากการเสพสื่อมากเกินไปที่อาจจะทำให้จิตใจหดหู่ได้เป็นอย่างดีทีเดียว (เพราะที่บริเวณหมู่บ้านนี้เค้าแทบไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย แต่สัญญาณ Wi-Fi ก็พอมีอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วง)

การเดินทางมาที่เหมืองปิล็อกและหมู่บ้านอีต่อง วิธีแรกคือการขับรถส่วนตัว หรือโดยสารรถ บขส. ไปลงที่อำเภอทองผาภูมิ และต่อด้วยรถประจำทางสีเหลืองที่อำเภอทองผาภูมิ เพื่อไปลงที่หมู่บ้านอีต่อง โดยรถโดยสารนี้จะมี 3 รอบใน 1 วัน คือ 10.30 น./ 11.30 น. และ 12.30 น. โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะได้เจอกับเมืองเล็ก ๆ อันแสนอบอุ่นในสายหมอกแล้ว

หมู่บ้านอีต่อง มีที่พักมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกพักตามอัธยาศัย แต่จุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปพักมากที่สุดเห็นจะเป็นบริเวณริมบ่อน้ำตรงกลางหมู่บ้าน เพราะมีบรรยากาศที่ดี วิวสวย แค่เดินออกมาชมวิวก็ฟิน คุ้มค่ากับการเดินทางมาแล้ว

บริเวณเหมืองปิล็อกก็เป็นอีกจุดแลนด์มาร์คหนึ่งที่นักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายรูปกับบรรยากาศเหมืองเก่า ที่ในอดีตเคยมีคนงานกว่า 600 คน แต่หลังจากมีการตัดราคาแร่จากจีน เหมืองปิล็อกก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจนต้องปิดตัวลง ซึ่งทามหมู่บ้านยังคงอนุรักษ์ความเป็นเหมืองเอาไว้อย่างสมบูรณ์ ยังคงมีอุปกรณ์และยานพหนะที่ใช้ทำเหมืองในอดีตค่อนข้างครบถ้วน เดินถัดเข้าไปอีกหน่อยก็จะเจอกับน้ำตก จ๊อกกระดิ่น น้ำตกธรรมชาติท่ามกลางสายหมอก จนดูเหมือนหลุดเข้าไปในดินแดนแห่งเทพนิยาย

นอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้เดินเล่น ชมวิวชิว ๆ แล้ว อาหารของหมู่บ้านอีต่องก็เป็นอีกจุดขายหนึ่ง เพราะว่าที่นี้เค้ามีอาหารทะเลสด ๆ จากทะเลอันดามัน ที่นำเข้าจากฝั่งพม่า ราคาสมเหตุสมผล เปิดให้บริการอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของหมู่บ้าน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวหิวแน่นอน

หลายครั้งที่นักท่องเที่ยวอยากจะเดินทางไปในที่ไกล ๆ และหลีกหนีความวุ่นวายที่เจอในชีวิตประจำวันเพื่อพักสมอง แต่อาจจะไม่สะดวกหรือมีเวลาไม่พอที่จะไปในที่ไกล ๆ ก็สามารถเลือกเดินทางมาที่ หมู่บ้านอีต่อง ได้ เพราะนอกจากจะได้พบกับบรรยากาศอันแสนสงบให้สบายใจ โอโซนสบาย ๆ แล้ว นักท่องเที่ยวยังได้สัมผัสวิถีสโลไลฟ์ ตามสไตล์ชาวบ้านแท้ ๆ อีกด้วย