ท่องเที่ยวด้วยใจไปกับรถไฟสายมรณะ ที่กาญจนบุรี

หากนึกถึงการท่องเที่ยวด้วยรถไฟแล้วล่ะก็ จังหวัดหนึ่งที่มักจะถูกนักท่องเที่ยวทั้งหลายนึกถึงมาเป็นอันดับต้น ๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นจังหวัดที่มากไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันหลากหลายและสวยงามที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศไทยอย่างจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งการเดินทางไปก็สุดแสนจะง่ายดาย เนื่องจากว่าทางการรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดตารางการท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับไว้ให้กับนักท่องเที่ยวทุกท่านที่สนใจเรียบร้อยแล้ว

แค่ท่านกำเงินประมาณ 120 บาท สำหรับรถนั่งธรรมดาชั้น 3 หรือ 240 สำหรับรถนั่งปรับอากาศชั้น 2 แล้วเดินเข้าไปซื้อตั๋ว เพียงเท่านี้ท่านก็มีโอกาสเป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสไปดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งประวัติศาสตร์ในเส้นทางรถไฟสายมรณะนี้ แต่ต้องแอบกระซิบกันก่อนว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะสามารถได้สิทธิ์นี้ เพราะต้องบอกเลยว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่ชอบเดินทางโดยรถไฟ ดังนั้นถ้าจะให้ดีท่านควรจองตั๋วล่วงหน้าก่อนการเดินทางซักระยะเวลาหนึ่งจะเป็นการดีที่สุด ซึ่งการจองตั๋วก็สามารถทำได้ง่ายดาย ทั้งแบบจองออนไลน์ หรือจองผ่านศูนย์บริการข้อมูลลูกค้าสัมพันธ์ ที่หมายเลข 1690 เพียงเท่านี้ท่านก็อุ่นใจได้เลยว่าท่านจะไม่ตกรถไฟขบวนนี้อย่างแน่นอน

สำหรับตารางการเดินทางนั้น รถไฟขบวนนี้จะออกจากกรุงเทพ ที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเวลา 06.30 น. จากนั้นสถานที่แรกที่จะไปแวะพัก ก็คือ สถานีรถไฟนครปฐม โดยที่จุดแรกนี้นักท่องเที่ยวจะได้มีโอกาสไปสักการะองค์พระปฐมเจดีย์ เป็นระยะเวลาประมาณ 40 นาที หรือหากใครใคร่เดินเลือกซื้อของกินบริเวณแถว ๆ สถานีรถไฟนั้นก็ย่อมทำได้ เนื่องจากบริเวณนั้นจะมีพ่อค้าแม่ขายมาคอยบริการนักท่องเที่ยวให้ได้เลือกซื้อเลือกหาสินค้าตามความพึงพอใจ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าหากใครที่ต้องการไปสักการะองค์พระปฐมเจดีย์แล้วล่ะก็ ควรรีบทำเวลาให้ดีดี เนื่องจากดูเผิน ๆ ระยะทางจากตัวสถานีมาถึงองค์พระฯ อาจดูไม่ไกลมากนัก แต่เชื่อเถอะว่าหากมัวอ้อยอิ่งอาจทำให้ท่านต้องตกรถไฟได้

ต่อจากนั้นรถไฟจะพาท่านไปแวะพักอีกทีบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว เวลาประมาณ 09.35 น. เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสลงไปถ่ายรูปกับวิวแม่น้ำและสะพาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของการท่องเที่ยวในครั้งนี้ นอกจากนี้หากใครใจดีก็อาจจะทำบุญเพื่อช่วยบริจาคทุนการศึกษาให้กับเด็ก ๆ ที่มักจะมาตั้งวงดนตรีร้องเพลงเพื่อหาเงินค่าเล่าเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ พอให้เป็นสีสันแก่สถานที่แห่งนี้ได้มากพอสมควร

จากนั้นเวลาประมาณ 11.00 น. ขบวนรถไฟก็จะเดินทางถึงถ้ำกระแซอันเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การสร้างทางรถไฟอันลือเลื่องในอดีต เมื่อครั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อจากนั้นท่านจะเดินทางถึงยังบริเวณสถานีรถไฟน้ำตกไทรโยคน้อย ทุกคนก็ได้เวลาแยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัย บางคนก็ไปเล่นน้ำตกกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือบางคนอาจหาอาหารกลางวันรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย

แต่สำหรับใครที่คิดว่ายังเดินทางไม่จุใจก็อาจจะเหมาสองแถว หรือเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับต่อไปยังสถานที่อันเป็นอีกหนึ่งตำนานประวัติศาสตร์อย่างช่องเขาขาด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดแวะพักของรถไฟมากนัก บอกเลยว่าการได้ขับมอเตอร์ไซค์ท้าทายลมแห่งขุนเขาประกอบกับวิวสองข้างทางนั้นช่างคุ้มค่ากับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดจริง ๆ แต่อย่างไรก็ดีท่านจะต้องคอยควบคุมเวลาของท่านให้ดีดี มิเช่นนั้นขากลับท่านอาจต้องอาศัยรถโดยสารประเภทอื่นกลับกรุงเทพแทนรถไฟก็เป็นได้

สำหรับช่วงการเดินทางขากลับนั้น เมื่ออิ่มเอมกับการชมวิวทั้งทิวเขาและแม่น้ำจากขามาแล้ว ก็เหลือเพียงแค่ลุ้นให้รถไฟของท่านแล่นให้เร็วพอที่จะสามารถแวะเที่ยวชมสุสานทหารพันธมิตรที่จะปิดทำการในเวลา 17.00 น. ให้จงได้ แต่หากไม่ทัน ก็เพียงแค่ย้อมใจด้วยของกินอร่อย ๆ ที่พนักงานรถไฟจะคอยถามไถ่ให้ท่านสั่งอาหารอยู่เป็นระยะ ๆ ขอบอกเลยว่าของกินที่จะพลาดไปเสียไม่ได้ในทริปนี้ หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันนั้น ก็คือ ก๋วยเตี๋ยวแห้ง  เป็ดทอด และขนมหม้อแกงรสชาติดี และเมื่ออิ่มหนำสำราญกับอาหารต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายจากสหายนักเดินทางทั้งหลาย เพราะเวลาประมาณ 19.25 น. นั้น รถไฟก็จะถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพนั่นเอง