Wembley stadium สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษ

เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนที่มีความฝันอยากจะไปเยือนประเทศอังกฤษสักครั้งหนึ่งในชีวิตนั้น จะต้องมีคนที่อยากไปเที่ยวชมดูการแข่งขันฟุตบอลทีมโปรดในดวงใจแน่ ๆ เพราะหนึ่งในสิ่งที่โด่งดังที่สุดของประเทศอังกฤษก็คือทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียงกว้างไกลและสร้างฐานแฟนคลับจำนวนมหาศาลไว้ทั่วโลก และในบทความนี้เราจะพาทุกคนทัวร์ชม Wembley stadium ซึ่งเป็นสนามกีฬาที่คอนักแตะลูกหนังแทบจะทุกคนต้องรู้จัก

Wembley stadium กับ ลีกในดวงใจของใครหลาย ๆ คน

Wembley Stadium หรืออีกชื่อก็คือ New Wembley เหตุผลที่เรียกชื่อนี้เป็นเพราะว่าสนามกีฬาได้ถูกสร้างใหม่ขึ้นอีกครั้งแทนสนามกีฬาเดิม ตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี 2007 ซึ่งถือเป็นสนามกีฬาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอังกฤษ และมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของยุโรป (รองจากสนามกีฬากัมนอว์ของทีมสโมสรบาร์เซโลน่า) โดยสนาม Wembley มีความจุอยู่ที่ 90,000 คน สำหรับผู้เข้าชมการแข่งขันฟุตบอลและขนาดสนามของ Wembley นั้นถือว่าเป็นมาตรฐานของสนามแข่งฟุตบอลยูฟ่า คือ 105 X 68 เมตร

ส่วนในความโดดเด่นของสนามกีฬา Wembley เราจะสามารถมองเห็นหลังคาที่สูงมาก และได้รับการขนานนามว่าเป็นหลังคาสนามกีฬาที่สูงที่สุดในโลก โดย Wembley stadium นั้นอยู่ในความดูแลของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ และถูกเปิดใช้สนามในครั้งแรกในปี 2007 คือการแข่งขัน FA CUP 2007 และในปี 1966 ก่อนหน้าที่สนามกีฬาแห่งนี้จะถูกสร้างใหม่อีกครั้ง สนาม Wembley ก็ยังเคยเป็นสนามแข่งหลักในการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 1966 ที่ประเทศอังกฤษเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันอีกด้วย นอกจากนี้ซิกเนเจอร์อีกหนึ่งที่ของ Wembley stadium ซึ่งยืนเด่นอยู่หน้าสนามเลยก็คือ รูปปั้นของบ็อบบี มัวร์ เขาคนนี้ก็คือกัปตันทีมชาติอังกฤษที่พาทีมคว้าชัยในการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 1966 นั่นเอง

นอกเหนือจากการชมการแข่งขันกีฬาแล้ว ภายใน Stadium แห่งนี้ ยังคงมีร้านขายของที่คอนักบอลจะต้องไม่พลาด กับสินค้าหลากหลายอย่างที่เกี่ยวกับฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็นเสื้อของทีมโปรด ป้าย หรือผ้าพันคอ ซึ่งสามารถเลือกซื้อได้อย่างจุใจ เป็นของที่ระลึกกลับไปอวดเพื่อนที่ไทยได้เลยทีเดียว และหากใครที่เป็นกังวลเกี่ยวกับที่พักกลัวว่าจะลำบากในการหาหรือกลัวว่าจะไม่มีที่พักอยู่แถวนั้น ต้องบอกเลยว่าอย่าได้กังวลไป เพราะมีโรงแรมอยู่มากมายใกล้กับสเตเดียมแห่งนี้ โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีก็สามารถมาถึง Wembley stadium ได้อย่างไม่ยากเกินความสามารถ

แต่ทั้งนี้ในฤดูกาลแข่งขันการจองที่พักถือว่าจะต้องใช้ความรวดเร็วพอตัว เพราะในแต่ละการแข่งขันไม่ได้มีเพียงแค่เราเท่านั้นที่อยากชมเชียร์ทีมโปรดในดวงใจ ยังคงมีแฟนนักบอลอีกหลายหมื่นคนทั่วโลกที่ต่างมารวมตัวกันในสเตเดียมแห่งนี้ เพื่อเชียร์ทีมโปรดของตัวเองอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องการจองที่พักหรือแม้กระทั่งการซื้อบัตรเพื่อเข้าชม จะต้องทำการบ้านมาดีพอสมควร เพื่อจะได้ป้องกันไม่ให้ทริปที่ฝันล่มไปในพริบตา

อย่างไรก็ตามการเข้าชมการแข่งขันกีฬาที่ Wembley stadium อาจเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คนแต่ทั้งนี้ มารยาทในการเข้าชมการแข่งขันกีฬาถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แม้ว่าจะมีโอกาสได้ไปชมการแข่งขันถึงสเตเดียม แต่การให้เกียรติสถานที่ถือเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษากฎระเบียบและถือว่าเป็นการให้เกียรติผู้เข้าชมกีฬาท่านอื่น ๆ ด้วย

สนามมวยลุมพินี สนามมวยมาตรฐานสู่สนามแข่งขันระดับโลก

สำหรับประเทศไทย “มวย” ถือว่าเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากทั้งคนไทยเอง และชาวต่างชาติอย่างล้นหลาม จะเห็นได้จากกางเกงมวยที่ถือเป็นซิกเนเจอร์หลัก ๆ ที่ไม่ว่านักท่องเที่ยวคนไหนได้เดินทางมาประเทศไทยจะต้องรู้จักเป็นแน่แท้  อีกทั้งมวยไทย ยังถือเป็นชนิดกีฬาที่สร้างชื่อเสียงกึกก้องไปไกลทั่วโลก ทั้งในเรื่องของศิลปะมวยไทย การต่อสู้แบบมวยไทย ถึงขั้นที่นักท่องเที่ยวคอกีฬาบางคนจัดทริปมาเที่ยวไทยเพื่อดูการแข่งขันมวยไทยโดยเฉพาะ และในบทความนี้เราจะพาคอกีฬามวยมาทำความรู้จักกับ สนามมวยลุมพินี หนึ่งในสถานที่ที่คอกีฬามวยไทยจัดให้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุด

มาทำความรู้จักกับ สนามมวยสวนลุมพินี สถานที่ฮอตฮิตของคนรักมวย

สนามมวยลุมพินี ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2499 โดยพันตรีประภาส จารุเสถียร ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกองทัพบก ถือได้ว่าเป็นสนามมวยมาตรฐานแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับสนามมวยราชดำเนิน

ซึ่งนอกเหนือจากสนามมวยแห่งนี้จะถูกใช้เป็นสนามในการแข่งขันมวยไทยแล้ว สนามมวยลุมพินียังถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เคยจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลกมาก่อนในปี 2503 โดยวัตถุประสงค์หลัก ๆ ในการสร้างสนามมวยลุมพินีขึ้นมาก็เพื่อใช้ในการปั้นนักกีฬามวยมาสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้

ลักษณะทั่วไปของสนามมวยนั้นจะมีทั้งหมด 3 อาคาร ภายในอาคารแข่งขัน หรือที่เรียกว่าสนามมวยลุมพินีจะมีพื้นที่สามารถจุคนได้ประมาณ 5,000 คน แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ในส่วนของสนามแข่งมวย จะมีเวทีสังเวียนตั้งอยู่ตรงกลางและรายล้อมไปด้วยอัฒจันทร์เชียร์ที่จะมีผู้เข้าชมนั่งอยู่โดยรอบ ซึ่งหากผู้ใดที่ถือโอกาสมาชมมวยไปด้วยอยากทัศนศึกษาความเป็นมาของมวยไปพลาง ทางสนามมวยสวนลุมพินียังมีพิพิธภัณฑ์มวยไทย รวมถึงลานวัฒนธรรมสำหรับใช้แสดงกิจกรรมและฝึกซ้อมมวยไทยอยู่ โดยในตัวพิพิธภัณฑ์จะตั้งอยู่ตรงชั้นหนึ่งของอาคารสนามมวยลุมพินี ส่วนลานวัฒนธรรมจะตั้งอยู่บริเวณอาคารจอดรถ ซึ่งนอกจากนั้นตัวอาคารจอดรถยังคงมีร้านขายของเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับแฟนมวยทุกคน โดยไม่ต้องกังวลว่าหากหิวจะต้องขับรถออกไปเพื่อหาของกินข้างนอก

ในปัจจุบันสนามมวยลุมพินีจะตั้งอยู่ที่ถนนรามอินทรา อนุสาวรีย์เขตบางเขน สามารถเดินทางได้โดยใช้รถยนต์ส่วนตัวเนื่องจากบริเวณสนามมวยมีลานจอดรถขนาดใหญ่สามารถรองรับรถยนต์ของผู้เข้าชมได้หลายคัน หรือจะใช้การเดินทางขนส่งสาธารณะ อย่างเช่น รถไฟฟ้าโดยลงสถานีราชเทวี แล้วสามารถต่อแท็กซี่ไปหรือจะลงเรือที่ตลาดโบ๊เบ๊ แล้วต่อวินมอเตอร์ไซค์ไปอีกได้ตามแต่สะดวก

สถานการณ์โควิดกับสนามมวยลุมพินี

สำหรับสถานการณ์ที่ผ่านมาของสนามมวยสวนลุมพินีนั้น ถือเป็นกระแสตื่นตัวของสังคมไทยไม่น้อย จากการพบผู้ติดเชื้อที่อยู่ภายในสนามมวยแห่งนี้ ทำให้ทางสนามมวยได้ปิดเพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเป็นเวลา 18 วัน นับแต่วันที่ 13 มีนาคมไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม และในปัจจุบันสนามมวยลุมพินีได้เปิดทำการตามปกติโดยจะมีการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อใช้ในการควบคุมโรคต่อไป

โคลอสเซียม จากสนามกีฬาสู่เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ที่โลกไม่ลืม

ประเทศอิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามและมีกลิ่นอายของความคลาสสิคในยุคประวัติศาสตร์อีกที่หนึ่งของโลก ซึ่งหากใครได้ทำความรู้จักประเทศนี้เพิ่มมากขึ้น จะรู้เลยว่าอิตาลีเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีฉากหลังเป็นเมืองใหญ่ หนึ่งในต้นกำเนิดความมีอารยธรรมของโลกใบนี้ แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงประเทศอิตาลี หลายคนคงจะนึกถึงวิหารมิลานที่สวยงาม และอีกหลายคนคงจะนึกถึงโคลอสเซียม ซึ่งนอกจากจะเป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ใครหลายคนต่างตั้งความหวังอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต วิหารโคลอสเซียมยังถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีความสำคัญอย่างมากในด้านกีฬา เพราะในอดีตโคลอสเซียมแห่งนี้เคยเป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ในกรุงโรมมาก่อน และถือเป็นสนามกีฬาในยุคนั้นที่ใหญ่โตที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ประวัติศาตร์โดยคร่าวของการก่อตั้งโคลอสเซียม ดินแดนแห่งศึกสังเวียนและการนองเลือด

โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยสนามกีฬาโบราณแห่งนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 80 ซึ่งเป็นช่วงที่จักรพรรดิไททัสปกครองอยู่ โดยวัตถุประสงค์ของการสร้างโคลอสเซียมนั้นก็เพื่อใช้ในการประลองฝีมือของเหล่ากลาดิเอเตอร์ หรือการประลองกับสัตว์ป่าที่ดุร้าย ส่วนระยะเวลาในการสร้างสนามกีฬาแห่งนี้ได้ใช้เวลาเพียงแค่ 10 ปี ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความใหญ่โตมโหฬารของมัน

สำหรับในส่วนของสนามกีฬานั้นจะมีอัฒจันทร์ที่ก่อด้วยอิฐและหินทรายเป็นรูปวงกลม สามารถจุคนได้มากถึง 50,000 คน และผู้ออกแบบยังสร้างทางระบายน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมสนามในช่วงที่มีฝนตก ซึ่งในปัจจุบันทางระบายน้ำที่ถูกสร้างขึ้นก็ได้กลายมาเป็นต้นแบบของการสร้างสนามกีฬาอื่น ๆ

นอกจากนี้ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ควรรู้ของสนามกีฬาโคลอสเซียม ก็คือสนามกีฬาแห่งนี้ถือเป็นสนามกีฬาที่แพงที่สุดและใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างสนามกีฬามาด้วย และถึงแม้ว่าการแข่งขันกีฬาภายในโคลอสเซียมซึ่งเป็นการแข่งขันกีฬาที่มีเดิมพันเป็นชีวิตหรือการต่อสู้กับสัตว์ป่าที่ดุร้าย ซึ่งหลายคนจะถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างป่าเถื่อนและเป็นการทารุณกรรมสัตว์อย่างหนึ่ง แต่ในปัจจุบันสนามกีฬาแห่งนี้ก็ได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านโทษประหาร ซึ่งภายในบริเวณโคลอสเซียมจะมีไฟสีเหลืองคอยส่องสว่างในทุกครั้งที่มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตทุกที่บนโลก

เยี่ยมชม โคลอสเซียม หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

ด้วยความที่สนามกีฬาโบราณแห่งนี้เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกันกับความมโหฬารอลังการที่ถูกถ่ายทอดผ่านสายตาประชากรโลกกว่าหลายล้านคน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดที่โคลอสเซียมแห่งนี้จะกลายเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจากการลงคะแนนของประชากรผ่านทางโซเชียลและโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในปัจจุบันยังคงเปิดให้เข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.30-19.00 โดยตั๋วเข้าชมจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ตั๋วเข้าชมแบบมีไกด์ซึ่งจะมีราคา 17 ยูโร และตั๋วเข้าชมแบบไม่มีไกด์จะมีราคา 16 ยูโร ซึ่งหากใครสนใจสามารถซื้อตั๋วที่ Roman Pass หรือจะซื้อตั๋วออนไลน์ผ่านทาง coopculture.it ก็ได้ตามที่สะดวก

Wimbledon tennis กับความเก่าแก่ที่มีมายาวนานกว่า 100 ปี

กรุงลอนดอน มหานครแห่งแสงสี หนึ่งในความใฝ่ฝันของใครหลาย ๆ คน ที่อยากจะไปเยือนสักครั้งในชีวิต นอกจากความฮิปที่ถูกถ่ายทอดออกมาสู่สายตาประชาโลกผ่านแลนมาร์คสำคัญอันเป็นจุดเด่น ที่บอกได้ว่าคุณมาถึงลอนดอนแล้วอย่างลอนดอนอาย เมืองผู้ดีแห่งนี้ยังคงซ่อนความคลาสสิคและเก่าแก่เอาไว้ในรูปแบบของการแข่งขันกีฬา ที่ถือได้ว่า ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง Wimbledon ซึ่งเราจะพาทัวร์ชมการแข่งขันเทนนิสที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งจะเกิดขึ้นในทุก ๆ ปีที่ ย่าน Wimbledon กัน

ทำความรู้จักกับ เทนนิส Wimbledon ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษ

 การแข่งขันเทนนิส Wimbledon ถือเป็นการแข่งขันเทนนิสที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะถูกจัดขึ้นในทุก ๆ ปีระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม ที่ย่าน Wimbledon กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ส่วนเหตุผลที่ทำให้การแข่งขันเทนนิสนี้มีความเก่าแก่ที่สุด นั่นก็เป็นเพราะว่าการแข่งขันมีมาแล้วกว่า 143 ปี นับตั้งแต่มีการแข่งขันครั้งแรกในปี 1877 ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้การแข่งขันโดดเด่นและแตกต่างไปจากจากการแข่งขันเทนนิสทั่วไป คือ การแข่งขันเทนนิส Wimbledon เป็นการแข่งขันที่ยังคงความเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาอย่างยาวนาน เช่น นักกีฬาจะต้องสวมชุดสีขาวในการแข่งขัน ซึ่งถือเป็นกฎที่ค่อนข้างเนี๊ยบและเข้มงวดอยู่ไม่น้อยเมื่อเทียบกับการแข่งขันเทนนิสทั่วไป ซึ่งนอกจากที่ชุดจะต้องเป็นสีขาวล้วนแล้ว รองเท้าสำหรับการแข่งขัน รวมทั้งเครื่องประดับต่าง ๆ เช่นผ้าคาดศีรษะหรือหมวกก็จะต้องเป็นสีขาวด้วยเช่นกัน

และเนื่องจากที่การแข่งขันค่อนข้างมีความเข้มงวดในเรื่องของการแต่งกายให้ถูกระเบียบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะใครหลายคนจะปฏิบัติตามได้แบบครบถ้วน จึงได้มีการอนุโลมหากผู้เข้าแข่งขันมีคามจำเป็น ซึ่งจะใส่เป็นสีครีมด้วยก็ได้ นอกจากนี้อีกหนึ่งสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ก็คือการใช้คอร์ทหญ้าในการแข่งขัน ซึ่งในปัจจุบันเราจะเห็นการแข่งขันเทนนิสมักอยู่ในร่มและเป็นพื้นคอนกรีตเสียส่วนใหญ่ ซึ่งการเด้งของลูกเทนนิสในสนามหญ้าจะแตกต่างกันออกไปตามสภาพอากาศ ประกอบกับเป็นพื้นที่เป็นสนามหญ้า จึงทำให้การแข่งขันมีรูปแบบของการเล่นที่ค่อนข้างหนักหน่วงอยู่ไม่น้อย

ในส่วนอัฒจันทร์ที่เชียร์กีฬาสามารถจุคนได้ทั้งหมดอยู่ที่ 30,000-40,000 คนเท่านั้น ซึ่งหากใครที่ต้องการเข้าชมการแข่งขันก็จะต้องรีบทำการซื้อบัตร เนื่องจากว่าการแข่งขันได้รับความนิยมที่สูงมาก และมีผู้ซื้อบัตรเป็นจำนวนมหาศาล โดยสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ tickermaster.co.uk หรือสามารถเข้าคิวซื้อบัตรที่หน้าสนามด้วยก็ได้

สถานการณ์การแข่งขันเทนนิส Wimbledon ปี 2020

ตามปกติการแข่งขันเทนนิส Wimbledon จะดำเนินการแข่งขันในทุก ๆ ปี แต่เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้การแข่งขันกีฬาเทนนิสในปีนี้ เป็นอันต้องถูกยกเลิกไป ซึ่งสร้างความเสียดายให้กับผู้เฝ้ารอไปชมการแข่งขันเป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดีขึ้น ปี 2564 เราอาจได้กลับมาเห็นความคักคัก อีกครั้งการการแข่งขันเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและทั่วทั้งโลกต่างรอคอยกัน

เจดีย์ขาวบนยอดเขาสูงเสียดฟ้า…Unseen Thailand แห่งเมืองลำปาง

ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการยกย่องให้เป็น Unseen Thailand สำหรับ “วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์” โดยวัดแห่งนี้มีจุดเด่นเป็นเจดีย์สีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูง และวิวทิวทัศน์ที่สวยงามหลักล้านด้วยมุมมองแบบ Bird Eye View

วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อเดิมว่า “วัดพระบาทปู่ผาแดง” ตั้งอยู่ที่อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง บนภูเขาใหญ่ในพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดอยพระบาท ซึ่งบนยอดเขาแห่งนี้มีรอยพระพุทธบาทอันเป็นที่เคารพบูชาของชาวเมืองแจ้ห่มมาช้านานประดิษฐานอยู่ เดิมทีทางเดินขึ้นเขาสักการะรอยพระพุทธบาทนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องบุกป่าฝ่าดงและปีนป่ายหน้าผาชัน จนกระทั้งเมื่อหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล (พระเทพวิสุทธิญาณ) เดินทางมาสักการะรอยพระพุทธบาทด้วยการเดินเท้าแล้วเกิดความศรัทธาจึงเป็นที่มาของการสร้างวัดขึ้น ประกอบกับเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพครบ 200 ปี คณะสงฆ์จึงมีมติสร้างวัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ ในบริเวณใกล้เคียงรอยพระพุทธบาท เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีต่อปวงชนชาวไทย และได้ทำการพัฒนาเส้นทางสักการะรอยพระพุทธบาทให้มีความสะดวกสบายขึ้น

วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ มีการสร้างอุโบสถรูปแบบล้านนา ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระนิรันตรายองค์จำลอง พระพุทธรูปประจำพระองค์ของร.4 ในการเดินทางขึ้นไปสักการะบูชารอยพระพุทธบาทจะต้องนั่งรถโดยสารโฟร์วีลเท่านั้น เนื่องจากถนนมีความลาดชันสูงจึงต้องใช้ความชำนาญอย่างมากในการขับขี่และไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขับรถส่วนตัวขึ้นเขาเอง โดยต้องนั่งรถโดยสารเป็นเวลา 30 นาที จากนั้นจะเป็นการเดินเท้าขึ้นบันไดกว่า 300 ขั้น ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งด้วยความลาดชันอาจต้องใช้เวลาในการเดินทางอีก 20-30 นาที แต่เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาก็พบกับจุดชมวิวอันสวยงามตระการตาด้วยมุมมองแบบ 360 องศา สามารถมองลงไปเห็นอำเภอแจ้ห่มชนิดสุดลูกหูลูกตา

โดยจุดชมวิวแห่งนี้จะมีทางเลือกอยู่ 2 เส้นทาง ทางขวาจะนำไปสักการะองค์พระธาตุฐานเจดีย์สีขาวประดับด้วยกระจกสีระยิบระยับและมียอดเจดีย์เป็นสีทอง โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม ส่วนทางซ้ายจะพาไปสู่ศาลาสวดมนต์ อันเป็นสถานที่ที่พระสงฆ์จะขึ้นมาสวดมนต์ทุกวันแรม 8 ค่ำ ซึ่งที่นี่เองเป็นมุม Unseen ที่เราตามหา โดยจะได้เห็นเจดีย์สีขาวที่บรรจุสิ่งศักดิ์สิทธิ์กระจายตัวอยู่บนชะง่อนผาฝั่งตรงข้าม และมีองค์พระธาตุสีทองบนยอดเขาทางด้านข้าง ซึ่งเจดีย์เหล่านี้เกิดจากแรงศรัทธาของชาวบ้านที่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างเจดีย์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แม้จะต้องเดินทางและทำการก่อสร้างด้วยความยากลำบากเพียงใดก็ตาม แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาที่สามารถสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นได้

การเดินทางมาพบความมหัศจรรย์แห่งเมืองลำปางนี้ ต้องพบเจอความยากลำบากอย่างมาก ดังนั้นนักท่องเที่ยวจำเป็นต้องเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมเผชิญกับเส้นทางหฤโหด แต่รับรองว่าเมื่อถึงจุดหมายแล้ววิวทิวทัศน์ที่ทุกคนจะได้สัมผัสช่างคุ้มค่าเหลือเกิน

เครดิตภาพ: http://www.jjkt-tour.com/wp-content/uploads/2017/06/maxresdefault-1-1400×788.jpg

ไม่ต้องบินไกลก็สามารถชมความงามของดอกซากุระญี่ปุ่นได้ บนดอยอ่างขาง

ดอกซากุระถือเป็นหนึ่งในสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ไปเยือนประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลฮานามิ ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมการชมดอกไม้ที่อยู่คู่กับชาวญี่ปุ่นมาช้านาน โดยในปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวไทยนั้นไม่จำเป็นต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลถึงแดนอาทิตย์อุทัยก็สามารถชื่นชมความงามของดอกซากุระญี่ปุ่นได้ที่ดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่นี่เอง

ในประเทศไทยมีต้นนางพญาเสือโคร่ง ซึ่งมีดอกสีชมพูและเป็นต้นไม้วงศ์กุหลาบ (Rosaceae) เช่นเดียวกับต้นซากุระของประเทศญี่ปุ่น จนได้รับฉายาว่าเป็นซากุระเมืองไทย โดยต้นนางพญาเสือโคร่งนั้นจะขึ้นตามไหล่เขาที่มีอากาศเย็น จึงพบมากในบริเวณภาคเหนือตอนบน มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งชูดอกนางพญาเสือโคร่งเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นที่ดอยอินทนนท์, ขุนช่างเคี่ยน, ขุนแม่ยะ, ดอยช้าง-ดอยวาวี, ดอยแม่ตะมาน, ดอยผาตั้ง หรือดอยแม่สลอง แต่สำหรับที่ดอยอ่างขางนั้น นอกจากจะเต็มไปด้วยต้นนางพญาเสือโคร่งแล้ว ในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางยังได้ปลูกต้นซากุระสายพันธุ์ญี่ปุ่นไว้อีกด้วย

สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ตั้งอยู่บนเทือกเขาแดนลาว ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่แห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นโครงการหลวงแห่งแรกของประเทศไทย ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพลิกฟื้นผืนดินจากดอยเขาหัวโล้นให้กลายมาเป็นแหล่งผลิตพืชผักผลไม้เมืองหนาวอันอุดมสมบูรณ์อย่างในปัจจุบัน โดยการนำต้นซากุระมาปลูกในประเทศไทยนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากเมื่อครั้ง “หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี” องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวงได้เสด็จประเทศญี่ปุ่น และทราบว่าประเทศญี่ปุ่นมีการจัดเทศกาลฮานามิ ท่านจึงได้นำต้นซาระมาปลูกไว้บริเวณรอบ ๆ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ก่อนที่ต่อมาจะนำต้นเชอร์รี่ไต้หวัน ซึ่งมีลักษณะเดียวกันมาปลูกเพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ. 2551 ทำให้ปัจจุบันมีต้นซากุระญี่ปุ่นและต้นเชอร์รี่ไต้หวันปลูกรวมกันกว่า 3,000 ต้นทั่วสถานเกษตรหลวง และเมื่อเข้าสู่หน้าหนาวพันธุ์ไม้ทั้ง 3 ชนิดอย่างต้นซากุระ, ต้นเชอร์รี่ไต้หวัน และต้นนางพญาเสือโคร่งจะออกดอกบานสะพรั่ง ดอยอ่างขางจึงกลายเป็นดินแดนสีชมพูแสนโรแมนติก

ดอกซากุระที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขางจะเริ่มบานในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี โดยนักท่องเที่ยวสามารถชมดอกซากุระจากประเทศญี่ปุ่นได้ที่สวนเฉลิพระเกียรติ 80 พรรษา และสวนกุหลาบอังกฤษ รวมไปถึงตลอดสองข้างทางภายในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วยการใช้ถนนหลวงหมายเลข 107 เส้นทางเชียงใหม่-ฝาง

นอกจากจะได้ชื่นชมความสวยงามของดอกซากุระแล้ว ที่ดอยอ่างขางยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นที่น่าสนใจอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นจุดชมวิวม่อนสน ที่ขึ้นชื่อเรื่องการชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า, ไร่ชาสองพัน ไร่ชาที่ปลูกเป็นขั้นบันไดตามแนวเขา, ตลาดชุมชมบ้านคุ้ม ตลาดขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยต้นนางพญาเสือโคร่ง และแปลงสาธิตไม้ดอก สวนไม้ดอกนานาชนิดที่ปลูกสลับหมุนเวียนตลอดทั้งปี

เครดิตภาพ: https://www.108like.com/trips/image/sakura-ak-6_1457214409.jpg

Camp Nou รังเหย้าของทีมบาร์เซโลน่า สนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

เมืองบาร์เซโลน่าถือเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของทวีปยุโรป ซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นกาตาลุญญา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสเปน โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง ทั้งมหาวิหารซากราดา แฟมิเลีย สถาปัตยกรรมที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก, สวนสาธารณะปาร์กเวย์ สถาปัตยกรรมที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปใต้, พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ ที่รวบรวมผลงานของจิตกรเอกของโลกไว้มากกว่า 3,500 ชิ้น แต่หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของเมืองนี้คงหนีไม่พ้น คัมป์ นู (Camp Nou) สนามฟุตบอลประจำทีมบาร์เซโลน่า สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของประเทศสเปนและทวีปยุโรป

สโมสรบาร์เซโลน่าได้ชื่อว่าเป็นทีมมหาอำนาจลูกหนังของศึกลาลีกา สเปน เคียงคู่กับสโมสรเรอัล มาดริด เหล่าขุนพลบาร์ซ่าคว้าแชมป์มาครองมากมายทั้งในระดับประเทศและทวีปยุโรป โดยมีสนามคัมป์ นู เป็นสนามเหย้าประจำทีมมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1957 ก่อนที่สนามแห่งนี้จะผ่านการรีโนเวทมาหลายครั้งจนในปัจจุบันสามารถจุผู้ชมได้ถึง 99,354 ที่นั่ง นับเป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก นอกจากถูกใช้เป็นรังเหย้าของทีมบาร์เซโลน่าแล้ว คัมป์ นู ยังเคยถูกใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นศึกชิงแชมป์สโมสรยุโรป รอบชิงชนะเลิศ ทั้งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และยูฟ่า คัพ วินเนอร์ คัพ, ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 1964 และศึกฟุตบอลโลกปี 1982 รวมไปถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 1992

สนามคัมป์ นู ตั้งอยู่ในจุดที่เดินทางได้อย่างสะดวกทั้งทางรถบัสและรถไฟใต้ดิน โดยตัวสนามหากมองจากภายนอกอาจมีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของสนามจะอยู่ลึกลงไปชั้นใต้ดิน ทางสโมสรบาร์เซโลน่าเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวและแฟนบอลเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของสโมสรได้ทุกวัน ซึ่งภายในจะเป็นการรวบรวมทุกเรื่องราวเกี่ยวกับทีมบาร์เซโลน่า ไม่ว่าจะเป็นประวัติสโมสรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน, โทรฟี่แชมป์ทุกรายการที่ทีมประสบความสำเร็จ, เรื่องราวนักเตะชื่อดังของทีม ไล่ตั้งแต่ดิเอโก้ มาราโดน่า จนถึงซูเปอร์สตาร์คนปัจจุบันอย่างลิโอเนล เมสซี่ ที่มีการจัดแสดงรางวัลส่วนตัวทั้งบัลลงดอร์และรองเท้าทองคำ นอกจากนั้นในวันที่ไม่มีเกมการแข่งขันก็จะมีโปรแกรมทัวร์ Camp Nou Experience Tour & Museum ซึ่งสามารถซื้อตั๋วได้หลายช่องทาง ทั้งทางออนไลน์, หน้าประตูทางเข้า และจุดจำหน่ายตั๋วรอบเมืองบาร์เซโลน่า ซึ่งการซื้อตั๋วช่องทางออนไลน์จะได้ราคาถูกกว่าช่องทางอื่นประมาณ 2-3 ยูโร โดยโปรแกรมทัวร์นี้จะรวมไปถึงการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สโมสรและส่วนต่าง ๆ ของสนามคัมป์ นู อย่างห้องแต่งตัวนักฟุตบอล, ห้องแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ของผู้จัดการทีมและนักเตะ, ห้องบรรยายการถ่ายทอดสด, ทางเดินลงสู่สนาม, ซุ้มม้านั่งสำรอง รวมไปถึงได้สัมผัสสนามหญ้าที่นักเตะชื่อดังมากมายเคยลงฟาดแข้งอย่างใกล้ชิด และหลังจากจบโปรแกรมทัวร์แล้วยังสามารถเลือกซื้อสินค้าที่ระลึกตราสโมสรบาร์เซโลน่าได้ที่ Magastore เป็นการส่งท้ายทริป

บาร์เซโลน่าได้ชื่อว่าเป็นสโมสรที่ทำประโยชน์เผื่อสังคมมาโดยตลอด โดยพวกเขาบริจาคเงินให้กับองค์กรยูนิเซฟเป็นประจำทุกปี และในปัจจุบันที่ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาโรคโควิด-19 บาร์เซโลน่าก็ได้ประกาศขายสิทธิ์เปลี่ยนชื่อสนามให้กับสปอนเซอร์ที่สนใจ เพื่อนำเงินมาบริจาคสมทบทุนให้กับโครงการทางการแพทย์ในการวิจัยและต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาอีกด้วย

เครดิตภาพ: https://vnt.onecmscdn.com/2020/04/24/bongdaso-com_200424_204057_755.jpg

สะพานซูตองเป้ ความงดงามอย่างลงตัวของธรรมชาติและแรงศรัทธาแห่งเมืองสามหมอก

แม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อในเรื่องทะเลหมอก ด้วยการมีทะเลหมอกแทบตลอดทั้งปี จนได้รับสมญานามว่า “เมืองสามหมอก” ซึ่งเกิดจากภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนไปมา จึงทำให้สถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดส่วนใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ น้อยนักที่จะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นได้แก่ “สะพานซูตองเป้” สะพานไม้ที่เกิดจากความศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อพระพุทธศาสนา

สะพานซูตองเป้ ตั้งอยู่ที่บ้านกุงไม้สัก ตำบลปางหมู อำเภอเมืองฯ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับการยกย่องให้เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ด้วยขนาดกว้าง 2 เมตร ยาวประมาณ 500 เมตร ทอดยาวข้ามท้องทุ่งนาเขียวขจีของชาวบ้านและลำน้ำแม่สะงา ในการสร้างสะพานแห่งนี้ไม่ต้องใช้งบประมาณของทางราชการเลยสักบาท แต่ใช้การร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านกุงไม้สักที่นำวัสดุในท้องถิ่นมาใช้สร้างฐานรากทั้งคานและเสา รวมทั้งสานไม้ไผเป็นพื้นสะพานทอดยาวตลอดเส้นทาง โดยวัตถุประสงค์ของการสร้างสะพานแห่งนี้ก็เพื่อเชื่อมระหว่างหมู่บ้านกุงไม้สักกับสวนธรรมภูสมะ สถานปฏิบัติธรรมอันปลีกวิเวกเงียบสงบ ใช้เป็นเส้นทางบิณฑบาตของพระภิกษุสงฆ์และการสัญจรไปมาของชาวบ้าน จึงนับได้ว่าสะพานแห่งนี้สร้างสำเร็จลงได้ด้วยพลังแห่งความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งเริ่มเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2554 โดยใช้เวลาการก่อสร้างแล้วเสร็จเพียง 3 เดือนเท่านั้น

ด้วยความที่ตัวสะพานรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ จึงทำให้เกิดเป็นวิวทิวทัศน์ที่งดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน ประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคม อันเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านเริ่มดำนาก็จะเกิดภาพท้องทุ่งนาเขียวขจี และหากเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนก็จะได้เห็นข้าวออกรวงสีทองเหลืองอร่าม โดยนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสบรรยากาศอันร่มรื่นยามเช้าและร่วมทำบุญตักบาตรได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกา อันเป็นเวลาที่พระภิกษุเริ่มเดินบิณฑบาตข้ามสะพานซูตองเป้มายังหมู่บ้าน และจะข้ามสะพานกลับไปยังสวนธรรมภูสมะประมาณ 7 นาฬิกา โดยหลังจากนี้นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปยังสวนธรรมภูสมะเพื่อสักการะองค์พระพุทธรูปทรงเครื่อง อันเป็นศิลปะตามแบบฉบับพม่า และมองมุมสูงลงมายังสะพานซูตองเป้ได้อีกด้วย

คำว่า “ซูตองเป้” เป็นภาษาไทใหญ่ มีความหมายว่า “อธิษฐานประสบผลสำเร็จ” จึงมีความเชื่อว่าหากข้ามสะพานนี้ก็จะประสบความสำเร็จสมดังตั้งใจ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากตั้งใจเดินทางมาข้ามสะพานแห่งนี้สักครั้ง รวมทั้งสัมผัสกับความงามของธรรมชาติโดยรอบ จนสะพานแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดแม่ฮ่องสอนในที่สุด แต่ด้วยความที่พื้นสะพานทำจากไม้ไผสาน ซึ่งไม่ได้มีความแข็งแรงมากมายนัก เนื่องจากถูกออกแบบมาให้ใช้เดินสัญจรไปมาเท่านั้น จึงเกิดการรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวไม่วิ่งหรือกระโดดระหว่างข้ามสะพาน เพื่อไม่ให้เกิดการชำรุดเสียหายแก่ตัวสะพาน

สะพานซูตองเป้อยู่ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 8 กิโลเมตรเท่านั้น โดยนักท่องเที่ยวสามารถขับรถยนต์ส่วนตัวไปตามถนนหลวงหมายเลข 1095 มุ่งหน้าสู่บ้านกุงไม้สัก จากนั้นจอดรถไว้ที่วัดกุงไม้สักแล้วเดินต่อไม่นานก็จะพบกับสะพานไม้แห่งแรงศรัทธา อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จและศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านกุงไม้สักทุกคน

เครดิตภาพ: https://s.isanook.com/tr/0/rp/r/w728/ya0xa0m1w0/aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3RyLzAvdWQvMjgyLzE0MTMxMTcvaXN0b2NrLTg4MDIyOTczNC5qcGc=.jpg

“เกาะกระดาน” หาดสวย…น้ำใส ความงดงามแห่งท้องทะเลตรัง

จังหวัดตรัง เป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในท้องทะเลฝั่งอันดามัน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความสวยงามของชายหาด และหมู่เกาะต่าง ๆ อีกทั้งยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ทั้งปลาทะเลหลากหลายสีสัน และแนวปะการังมากมาย ที่รอคอยให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสสัมผัสความงามสักครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เกาะกระดาน” เกาะที่ได้รับการยกย่องว่ามีชายหาดที่สวยที่สุดแห่งท้องทะเลตรัง

เกาะกระดาน เป็นเกาะที่อยู่ในเขตความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งอำเภอกันตังประมาณ 10 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 600 ไร่ โดยจุดเด่นของเกาะแห่งนี้คือเป็นชายหาดที่ทรายขาวละเอียดเหมือนแป้งเดินนุ่มสบายเท้า เหมาะแก่การลงเล่นน้ำทะเล และด้วยความที่อยู่ไกลห่างจากชายฝั่งจึงทำให้นำทะเลที่นี่เป็นสีเขียวใส มองลงไปเห็นริ้วทรายใต้พื้นน้ำได้อย่างชัดเจน ซึ่งตัวเกาะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ชายหาดด้วยกัน

                1. ชายหาดเกาะกระดาน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ มีแนวชายหาดยาวประมาณ 2 กิโลเมตร และเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมที่ 3 โดยบริเวณด้านหน้าชายหาดมีแนวปะการังน้ำตื้นทอดตัวเป็นแนวยาว ไม่ว่าจะเป็นปะการังสมอง, ปะการังเขากวาง หรือปะการังอ่อนหนามแดง รวมทั้งเป็นแหล่งรวมตัวของปลาทะเลหลากหลายชนิด จึงทำให้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในการดำนำชมปะการัง นอกจากนั้นยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม และสามารถมองไปเห็นเกาะลิบง เกาะแหวน เกาะมุก และเกาะเชือกอีกด้วย

                2. ชายหาดอ่าวเนียง ตั้งอยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ไปทางทิศใต้ เป็นแนวชายหาดยาวประมาณ 800 เมตร และเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมดำน้ำชมแนวปะการังน้ำตื้น

                3. ชายหาดอ่าวช่องลม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ประมาณ 800 เมตร เป็นชายหาดทรายเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยโขดหินสีน้ำตาล โดยถือเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม

                4. ชายหาดอ่าวไผ่ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ เป็นชายหาดยาวประมาณ 200 เมตร แม้จะไม่มีแนวปะการัง แต่ก็สามารถมองเห็นเกาะเชือก เกาะแหวน และเกาะมุก รวมทั้งยังเป็นอีกหนึ่งจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้

เกาะกระดาน ไม่เพียงได้รับการยกย่องว่ามีชายหาดที่สวยที่สุดของทะเลตรังเท่านั้น แต่เกาะแห่งนี้ยังได้ชื่อว่า “เกาะแห่งความรัก” อีกด้วย เนื่องจากได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดพิธีวิวาห์ใต้สมุทรต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปีในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ และยังถูกบันทึกลงในหนังสือ “กินเนส เวิลด์ เรคคอร์ด” ว่าเป็นงานวิวาห์ใต้สมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก จนกลายเป็นเรื่องขึ้นชื่อของจังหวัดตรังไปในที่สุด

นอกจากการลงเล่นน้ำทะเล ดำน้ำดูปะการัง และการโต้คลื่นแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาบนเกาะกระดานคือการเดินทางไปชม “ถ้ำมรกต” ถ้ำที่มีชายหาดอยู่ภายใน โดยด้านบนที่เปิดโล่งทำให้ภายในถ้ำสว่างและมีแสงสะท้อนน้ำทะเลเป็นประกายสีมรกตสวยงาม ถึงขนาดมีคำพูดที่ว่า หากไม่ได้มาเที่ยวที่เกาะกระดานและถ้ำมรกต ก็เท่ากับว่ายังมาไม่ถึงทะเลตรัง

เครดิตภาพ: https://travelxpress.co.th/wp-content/uploads/kradan-island-01-700×450.jpg

เยี่ยมชมพญานาคขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ เมืองมุกดาหาร

แม่น้ำโขง เป็นสายน้ำที่มีความเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของพญานาค สัตว์ในตำนานสมัยพุทธกาลที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ทำให้ตลอดเส้นทางสองฝั่งโขงเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องพญานาค ซึ่งจังหวัดมุกดาหารก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยทางจังหวัดเพิ่งมีแลนด์มาร์คแห่งใหม่เป็นพญานาคที่วิจิตรงดงามและมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ริมลำน้ำโขง

“องค์พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราช” เป็นรูปปั้นพญานาคเศียรเดียวในลักษณะนอนขดตัวไปมาและชูคอสูงสง่าหันไปทางแม่น้ำโขง ลำตัวมีสีเขียวอมฟ้า ขนาดยาว 122 เมตร ความกว้างลำตัว 1.5 เมตร ซึ่งชูคอสูงกว่า 20 เมตร ตั้งอยู่บนเขาภูมโนรมย์ ภายในบริเวณวัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร และเนื่องจากสถานที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ที่นี่จึงเป็นจุดชมวิวที่สามารถของเห็นแม่น้ำโขง, ตัวเมืองมุกดาหาร, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวมไปถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่งดงามอีกด้วย

ประวัติการสร้างองค์พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราชนั้น มีที่มาจากเมื่อครั้งก่อสร้าง “พระเจ้าใหญ่แก้วมุกดาศรีไตรรัตน์” พระพุทธรูปเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาส เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 39.99 เมตร สูง 59.99 เมตร และมีความสูงจากฐานถึงยอดเศียร 84 เมตร โดยเจ้าอาวาสวัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์องค์ปัจจุบันตั้งใจสร้างพญานาคราชเพื่อถวายการอภิบาลองค์พระใหญ่นั้นเอง

หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2561 ทางวัดก็ได้ทำการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมองค์พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราชโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสักการะองค์พญานาคราชเป็นจำนวนมาก โดยเหล่านักท่องเที่ยวจะตั้งจิตอธิฐานแล้วเดินลอดท้องพญานาคทั้ง 7 ช่อง ก่อนจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชา และนำผ้าแดงที่เขียนชื่อตัวเองไปผูกไว้ที่ต้นไม้รอบๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล

นอกจากองค์พญาศรีมุกดามหามุนีนีลปาลนาคราช และองค์พระเจ้าใหญ่แก้วมุกดาศรีไตรรัตน์ ที่วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระธาตุภูมโนรมย์ พระธาตุทรงแปดเหลี่ยม, รอยพระพุทธบาทจำลองที่สร้างจากหินทราย ขนาดกว้าง 80 เซนติเมตร ยาว 180 เซนติเมตร และพระอังคารเพ็ญ พระพุทธรูปขนาดเล็กที่สร้างขึ้นพร้อมกับรอยพระพุทธบาทจำลอง

วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์นั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองมุกดาหารไปทางทิศใต้ ประมาณ 5 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้สะดวกด้วยรถยนต์ส่วนตัวไปตามถนนหลวงหมายเลข 2034 เส้นทางมุกดาหาร-ดอนตาล ซึ่งมีป้ายบอกทางตลอดเส้นทาง และด้วยความที่วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติมุกดาหาร จึงทำให้วิวทิวทัศน์โดยรอบเต็มไปด้วยธรรมชาติอันร่มรื่นตลอดสองข้างทาง การเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่จึงเท่ากับได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน

เครดิตภาพ: https://www.thailandtopvote.com/wp-content/uploads/2018/07/3.jpg