ไปดูบอลถึงสนามแข่งดีอย่างไร ทำไมใคร ๆ ก็อยากไปดูสักครั้ง

เคยสงสัยไหมว่าทำไมใคร ๆ ก็อยากไปดูบอลถึงสนามแข่งดูสักครั้ง ทั้งที่การดูผ่านโทรทัศน์หรือเว็บดูบอลออนไลน์ก็ได้ทราบผลการแข่งขันเหมือนกัน ซึ่งเราก็ได้รวบรวมเหตุผลที่ทำให้ใครก็อยากไปดูบอลถึงสนามแข่งมาบอกกันดังนี้

1.ได้บรรยากาศที่เร้าใจมากกว่า

          การไปดูบอลถึงสนามแข่งคุณจะได้บรรยากาศที่มีความเร้าใจและน่าตื่นเต้นมากกว่า เพราะได้เห็นการแข่งขันแบบใกล้ชิด มองเห็นสนามแข่งในทุกมุมมองจึงทำให้เกิดอรรถรสในการชมมากกว่าการดูบอลผ่านทางโทรทัศน์หลายเท่าเลยทีเดียว แถมยังได้ส่งเสียงร้องเชียร์อย่างเต็มที่อีกด้วย ซึ่งแฟนบอลส่วนใหญ่ก็ล้วนอยากไปสัมผัสบรรยากาศแบบนี้กันทั้งนั้น

2.มีรูปสวย ๆ มาอวดเพื่อน

          เมื่อไปดูการแข่งขันฟุตบอลถึงสนามจริง คุณจะได้ถ่ายรูปสวย ๆ มาอวดเพื่อนว่าได้ไปดูฟุตบอลถึงสนามแข่งมาแล้ว ทั้งยังได้เก็บเป็นภาพความทรงจำดี ๆ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยได้ไปเยือนสนามแข่งมาอีกด้วย ซึ่งเพื่อน ๆ จะต้องอิจฉาคุณอย่างแน่นอน

3.ได้รู้จักผู้คนเพิ่มขึ้น

          ณ สนามแข่งกีฬา จะมีผู้คนจากหลายประเทศมารวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งการมาชมการแข่งขันถึงสนามแข่งก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้รู้จักผู้คนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหากเจอคนที่ชอบทีมเดียวกันด้วยแล้วก็จะได้เพื่อนที่พูดคุยถูกคอกันอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็อย่าไว้วางใจใครมากเกินไป เพราะบางคนอาจไม่ได้เข้าหาคุณด้วยเจตนาดีก็ได้

4.เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ

          การได้ไปเที่ยวดูบอลถึงต่างประเทศก็ถือเป็นการได้พักผ่อนหย่อนใจไปด้วย เพราะคุณได้ปล่อยตัวปล่อยใจอย่างเต็มที่ไปกับสิ่งที่คุณชอบ โดยไม่มีเรื่องงานเข้ามา อีกทั้งนอกจากไปดูบอลแล้วก็ยังสามารถไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในบริเวณใกล้เคียงได้อีกด้วย ดังนั้นใคร ๆ จึงอยากไปดูบอลถึงสนามแข่งดูสักครั้ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัวด้วยนั่นเอง

5.ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์

          การเดินทางไปดูบอลถึงต่างประเทศก็จะทำให้คุณได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ ๆ มากขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว ทั้งยังได้เรียนรู้ว่าการเข้าไปดูบอลถึงสนามแข่งนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง โดยคนที่ไม่ได้ไปดูถึงที่จะไม่มีวันได้รู้นั่นเอง ซึ่งใครที่ชื่นชอบการหาประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่แล้ว ก็มักจะไม่พลาด

          เห็นไหมว่าการไปชมการแข่งขันฟุตบอลถึงสนามแข่งในต่างประเทศก็มีข้อดีมากมายทีเดียว จึงทำให้แฟนบอลทั้งหลายอยากลองไปดูถึงที่สักครั้ง ซึ่งการไปดูบอลต่างประเทศนั้นคุณจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเรื่องการจองตั๋วเครื่องบิน ตั๋วเข้าชมฟุตบอล รวมถึงการจองโรงแรมที่พัก เพื่อจะได้ไม่มีปัญหานั่นเอง หรือไม่ก็อาจจะซื้อทัวร์ดูบอลโดยเฉพาะเลยก็ได้ เพราะมีความสะดวกง่ายดายมากกว่า แถมยังช่วยเซฟเงินได้ดีอีกด้วย

ซื้อทัวร์ดีไหม ถ้าอยากดูการแข่งขันกีฬาในต่างประเทศ

หลายคนอยากไปเที่ยวดูการแข่งขันกีฬาในต่างประเทศ แต่ก็ลังเลอยู่ใช่ไหมว่าควรซื้อทัวร์ดีไหม ซึ่งก็มีหลายบริษัททัวร์ที่เปิดให้บริการพาเที่ยวชมการแข่งขันกีฬาโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นทัวร์ดูบอลหรือทัวร์กีฬาอื่น ๆ ก็ตาม ดังนั้นเราจะพาคุณมาดูกันว่าการไปเที่ยวกับทัวร์ดีอย่างไรบ้าง เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดี

          การเที่ยวกับทัวร์จะทำให้คุณเซฟค่าใช้จ่ายได้ดี เพราะส่วนใหญ่จะได้ตั๋วในราคาที่ถูกกว่าการเดินทางด้วยตัวเอง และเมื่อคิดเฉลี่ยค่าใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ ที่ทางบริษัททัวร์จัดการให้ด้วยแล้วก็ประหยัดไปได้เยอะ แถมคุ้มค่ามากอีกด้วย ที่สำคัญการไปเที่ยวกับทัวร์จะมีกำหนดการที่ชัดเจนจึงไม่ทำให้งบประมาณที่ตั้งไว้บานปลายอย่างแน่นอน

มีคนจัดการให้พร้อมทุกเรื่อง

          แค่ซื้อทัวร์ดูการแข่งขันกีฬาต่างประเทศคุณก็ไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดการอะไรอีก เพราะทางบริษัททัวร์จะดำเนินการให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก หรือการซื้อตั๋วเข้าชมการแข่งขัน          ซึ่งคุณเพียงแค่เตรียมเงินที่จะนำไปใช้จ่ายส่วนตัวและจัดกระเป๋าเดินทางตามกำหนดเท่านั้น สะดวกสบายแบบนี้จะพลาดไม่ได้เลยเชียว

ได้ทั้งดูกีฬาทั้งท่องเที่ยว

          บริษัททัวร์ส่วนใหญ่จะไม่ได้จัดทัวร์แค่ไปชมการแข่งขันอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะมีการพาเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่น่าสนใจด้วย เรียกได้ว่าเป็นการซื้อทัวร์ที่คุ้มค่ามากจริง ๆ โดยทั้งนี้ก็จะมีแพ็คเกจทัวร์ให้เลือกหลายแบบ ซึ่งคุณสามารถเลือกซื้อแพ็คเกจทัวร์ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไปได้เลย

อิ่มอร่อยกับอาหารเด็ดตลอดการเดินทาง

          เมื่อซื้อทัวร์ชมการแข่งขันกีฬาหรือทัวร์ดูบอล ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินเลย เพราะทัวร์จะมีการจัดอาหารมื้อเด็ดให้กับทุกท่านตลอดการเดินทาง ซึ่งก็รับรองเลยว่าแต่ละมื้อจะมีแต่เมนูอร่อย ๆ ถูกใจคุณอย่างแน่นอน ไม่แน่นะคุณอาจติดใจจนอยากกลับมาใช้บริการทัวร์บ่อย ๆ เลยล่ะ

มีไกด์คอยให้คำแนะนำ

          แค่ซื้อทัวร์ดูกีฬาต่างประเทศ คุณก็จะได้ไกด์พ่วงมาด้วยทันที โดยไกด์จะทำหน้าที่คอยแนะนำอย่างใกล้ชิด พร้อมบอกกฎข้อบังคับการเข้าใช้สถานที่อย่างละเอียด เพื่อที่คุณจะได้ไม่เผลอทำผิดกฎจนเกิดปัญหาได้นั่นเอง

รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น

          กรณีที่มีความเสียหายระหว่างการเดินทาง ซึ่งอยู่ในการดูแลของบริษัททัวร์ ทางบริษัทจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น จึงทำให้คุณรู้สึกสบายใจได้เลย

          ได้รู้ข้อดีของการซื้อทัวร์ชมกีฬาต่างประเทศกันไปแล้ว ก็ลองพิจารณากันดูว่าควรซื้อทัวร์ดีหรือไม่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคนด้วย แต่หากต้องการความสะดวกสบายและเที่ยวดูการแข่งขันกีฬาได้อย่างสบายใจ ก็ต้องซื้อทัวร์กันเลย โดยเลือกบริษัททัวร์ที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักสักนิด เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงจากพวกมิจฉาชีพนั่นเอง

Tokyo Disney Sea ดินแดนแห่งเทพนิยายแห่งญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศแรก ๆ ในเอเชียที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกไปเที่ยว เพราะว่าสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก แถมยังเที่ยวได้ทุกฤดู นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติแล้ว ยังมีสวนสนุกที่ขึ้นชื่อและติดอันดับโลกจาก The Walt Disney Company บริษัทสื่อบรรเทิงเพื่อความบันเทิงขนาดใหญ่ หรือที่เรารู้จักกันดีอย่าง Disney อีกด้วย โดยที่ญี่ปุ่นนี้จะมีสวนสนุกของ Disney ทั้งหมด 2 ที่ด้วยกันคือ Tokyo Disney Land และ Tokyo Disney Sea โดยเราจะมาแนะนำ Tokyo Disney Sea ซึ่งเป็น Disney Sea แห่งเดียวในโลกกัน

ความโดดเด่นของ Tokyo Disney Sea จะไม่เหมือนกับสวนสนุกอื่น ๆ ร่วมค่ายอย่าง Tokyo Disney Land ซะทีเดียว โดย Tokyo Disney Sea จะเน้นเป็นเมืองจำลองแบบอเมริกายุคเก่า เป็นเมืองริมอ่าวอันแสนคลาสสิค โดยมีจุดแลนด์มาร์คของสวนสนุกอย่างภูเขาไฟที่ชื่อว่า Prometheus ซึ่งตั้งอยู่หลังทะเลสาป ใจกลาง Tokyo Disney Sea นั่นเอง

โดย Tokyo Disney Sea เค้าจะมีอยู่ด้วยกัน 7 โซนหลัก ๆ

  1. Port Discovery โซนของเล่นน้ำ และโซนเครื่องเล่นสำหรับเด็ก
  2. American Waterfront โซนจำลองบรรยากาศเมืองท่าแบบอเมริกันในยุคเก่า
  3. Lost River Delta โซนจำลองเมืองโบราณของชนเผ่า
  4. Arabian Coast โซนเมืองจำลองที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอาหรับราตรี
  5. Mermaid Lagoon โซนจำลองเมืองใต้ทะเลจากเรื่อง Little Mermaid มีทั้งกลางแจ้งและในร่ม เป็นโซนที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นสำหรับเด็ก
  6. Mysterious Island โซนจำลองสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในระหว่างขุดถ้ำ
  7. Mediterranean Harbor โซนจำลองหมู่บ้านริมน้ำสไตล์เมดิเตอร์เรเนี่ยน เต็มไปด้วยร้านอาหารน่ารัก ๆ

โดยแต่ละโซนเค้าก็จะมีเครื่องเล่นเด็ด ๆ ที่ต่างกันออกไป ข้อดีของ Tokyo Disney Sea คือเครื่องเล่นเค้าจะไม่คล้ายกับเครื่องเล่นอื่น ๆ ในเครือของ Tokyo Disney Land ซึ่งถือว่ามีความเป็นเอกลักษณ์และแปลกใหม่พอสมควรเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการมาเดท หรือมาถ่ายรูปเล่นอีกด้วย เพราะว่ามีมุมสวย ๆ แปลก ๆ จำลองหมู่บ้านริมน้ำแบบยุโรป ที่ทั้งสวยงามและมีสีสันออกมาได้ดีจริง ๆ แถมยังมีขบวนพาเหรด การแสดงกลางน้ำ และการแสดงภูเขาไฟที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ Tokyo Disney Land อีกด้วย

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก ๆ คือภายในสวนสนุกก็คือมีอาหารและขนมที่อร่อยและน่ารักสุด ๆ เช่น ขาไก่รมควัน ป๊อปคอร์นรสแปลก ๆ โมจิไอศกรีมและชูโรสโรยน้ำตาล เป็นต้น แถมราคาไม่แพงมาก เรียกได้ว่าไม่ต้องอาหารอาหารหลักทานกันเลยสำหรับสาว ๆ เพราะว่าแค่ซื้อขนมทานระหว่างเดินถ่ายรูปและเล่นเครื่องเล่นก็อยู่ท้องแล้วล่ะ

นักท่องเที่ยวที่เป็นแฟนคลับ Disney มากมาย อาจจะเดินทางเพื่อไปเยือน Tokyo Disney Land ซึ่งเป็นสวนสนุกชื่อดังที่ใคร ๆ ก็อยากมาเที่ยว แต่ Tokyo Disney Sea เองก็มีจุดเด่นที่น่าสนใจ น่าไปเยือนไม่แพ้กัน สำหรับแฟนคลับ Disney หากเป็นไปได้ก็เดินทางไปทั้ง 2 ที่เลยก็ได้นะ รับรองไม่ผิดหวัง

ทริปหลักพัน วิวหลักล้าน เป็นไปได้ที่บานาฮิลล์ ประเทศเวียดนาม

ตอนนี้เวียดนามเป็นประเทศท่องเที่ยวที่มาแรงมาก ๆ ในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย เพราะนอกจากจะราคาไม่แพง ไปง่าย เที่ยวง่ายแล้ว วิวยังสวยมาก ๆ บรรยากาศดี เหมือนไปเที่ยวยุโรปในราคาที่ไม่แพงไปกว่าเที่ยวในเมืองไทยเลยทีเดียว โดยหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังฮิตสุด ๆ ก็คือบานาฮิลล์ แห่งจังหวัดดานัง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเวียดนามนั้นเอง

บานาฮิลล์ (Ba Na Hills)ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองยุโรปแห่งดินแดนเอเชียตะวันออก ถึงแม้จะอยู่ในจังหวัดดานังที่เป็นเมืองเขตร้อน แต่อากาศไม่ร้อนเลยเพราะอยู่บนยอดเขา ต้องนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปเท่านั้น อีกทั้งยังมีหมอกปกคลุมบาง ๆ ทำให้อากาศเย็นสบาย สามารถท่องเที่ยวได้ทั้งปี สาเหตุที่เมืองนี้เหมือนกับยุโรปก็คือเมืองได้มีการนำเอาแผนการวางผังเมืองจากฝรั่งเศสมาใช้ และในเมืองก็ยังมีสถานที่ต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชม ตั้งแต่โรงแรมสำหรับให้นักท่องเที่ยวมาพัก ร้านอาหาร สวนสนุก สวนดอกไม้ อีกทั้งยังมีกระเช้าไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ยาวที่สุดในโลก (ยาว 5,801 เมตร และสูง 1,368 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล)

สะพานริมเขา Land mark ที่ทุกคนต้องไปเยือน

โดยหนึ่งใน Land mark อันเป็นเอกลักษณ์ของบานาฮิลล์ คือสะพานสีทองริมเขา (Golden Bridge) ที่ถูกออกแบบมาให้เหมือนมีมือหินประคองสะพานที่เว้าตามภูเขาอยู่ ดูสวยงามและยิ่งใหญ่ โดยสูงเหนือกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,400 เมตร

นอกจากสะพานสีทองอันแสงอลังการ เหมาะกับการมาชมวิวแล้ว ก็ยังมีหมู่บ้านฝรั่งเศส (French Village) ซึ่งรายล้อมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างสไตล์ฝรั่งเศส สวยงามและคลาสสิค ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปและซื้อของฝากกลับไปอีกด้วย ส่วนผู้ที่ชื่นชอบความตื่นเต้นเร้าใจ ที่นี้ก็มีสวนสนุกที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือเรื่อง  เรื่อง Journey To The Center of the Earth และ 20,000 Leagues Under The Sea ประพันธ์โดย Jules Verne ซึ่งเป็นนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อดัง (แน่นอนว่าหนังสือเรื่องนี้เคยทำเป็นภาพยนต์มาแล้ว) มีพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ชื่อว่า Ba Na Wax Statue Museum

ในส่วนของวัดก็มีทั้งวัดนิกายเชน Tombstone Temples ที่โดดเด่นไปด้วยสถาปัตยกรรมและเรื่องราวทางศาสนาเชน ไปจนถึงวัด Linh Phong Tu Temple ซึ่งเป็นวัดแบบจีน มีเจดีย์ 9 ชั้นสีขาวสวยงามโดดเด่น วัด Linh Chua linh Tu Temple ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาว Linh Ung Pagoda ที่เป็นจุดถ่ายรูปซุ้มจีน โดยมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าและก้อนเมฆสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,500 เมตร

จากการท่องเที่ยวบานาฮิลล์ในประเทศเวียดนาม เราจะเห็นได้ถึงการผสมผสานศิลปะและวัฒนธรรมทั้งของตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันอย่างสวยงามและกลมกล่อม บ่งบอกถึงความเป็นมาของประเทศได้เป็นอย่างดี  ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ เป็นทางเลือกใหม่ของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบทั้งธรรมชาติและศิลปะวัฒนธรรมในราคาที่เอื้อมถึง สบายกระเป๋าแน่นอน

ภูเขาไฟฟูจิ ธรรมชาติแสนยิ่งใหญ่ที่เปรียบเป็นลมหายใจของศิลปะญี่ปุ่น

หากจะพูดถึงประเทศเก่าแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่เรานึกถึงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติธรรมชาติ หรือไฟของสงครามที่เคยพัดผ่านประเทศแห่งนี้มา ล้วนแล้วแต่ไม่อาจจะทำอะไรประเทศที่แสนแข็งแกร่งนี้ได้ นอกจากนั้น ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าไปเที่ยวมาก ๆ เพราะนอกจากจะมีอาหารอร่อย ๆ มากมายที่ขึ้นชื่อในระดับโลกแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติอีกด้วย

หนึ่งในสิ่งที่นักท่องเที่ยวอยากดั้นด้นเดินทางไปชมที่สุดเห็นจะเป็นภูเขาไฟฟูจิ หรือ ฟูจิซัง ภูเขาไฟลูกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในภูมิภาคคันโต ภูเขาไฟฟูจินั้นเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นได้และรับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก เราจะได้เห็นทั้งภาพวาดและศิลปะต่าง ๆ ของญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันที่บอกเล่าความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟลูกนี้ โดยรอบ ๆ ภูเขาไฟฟูจิจะทีที่ราบลักษณะเป็นแอ่งจากการปะทุของความร้อนใต้ภูเขาไฟฟูจิ เกิดเป็นทะเลสาปขนาดใหญ่ทั้งหมด 5 ทะเลสาปด้วยกันได้แก่ ได้แก่ทะเลสาป Kawaguchiko ทะเลสาป Saiko ทะเลสาป Shojiko ทะเลสาป Motosuko และทะเลสาป Yamanakako (สุดตะวันออก)

จุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่เป็นที่นิยม

นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวของภูเขาไฟฟูจิได้ โดยจะมีจุดที่เป็นบริเวณชมวิวที่ดีที่สุด และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว 2 จุดด้วยกันคือที่คาวากูจิโกะและฮาโกเน่นั้นเอง

คาวากูจิโกะ เป็นทะเลสาปที่อยู่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจน โดยทะเลสาปนี้ติดกับทางตอนใต้ของจังหวัดยามานาชิ  เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่แสนเงียบสงบ มีรถ Retro bus ค่อยให้บริการวิ่งรอบ ๆ ทะเลสาป เป็นการคมนาคมสาธารณะเดียวที่จะช่วยให้นักท่องเที่ยวเที่ยวตามจุดต่าง ๆ รอบ ๆ ทะเลสาปได้ ไม่ว่าจะเป็นขึ้น Rope way ไปชมภูเขาไฟฟูจิและวิวเมืองจากมุมสูง และเจดีย์ Chureito

ฮาโกเน่ เป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก อยู่ทางตะวันตกประมาณ 70 กิโลเมตรเท่านั้น ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่โดนใจนักท่องเที่ยวเช่นขึ้น Rope way ไปทานไข่ดำ ที่ว่ากันว่าหากได้ทานแล้วจะมีอายุยืนไปอีก 7 ปี (แน่นอนว่าไข่ดำนี้ถูกทำให้สุกด้วยน้ำร้อนภูเขาไฟที่มีแร่ธาตุมากมายนั้นเอง) และยังเป็นแหล่งแช่ออนเซ็นที่มีให้เลือกหลากหลายแบบทั้งในร่ม กลางแจ้ง ไปจนถึงออนเซ็นไวน์!

ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่ว่ากันว่ามากี่ครั้งก็ไม่เบื่อ แถมยังเที่ยวได้ทุกฤดู โดยแต่ละฤดูก็จะมีความสวยงามที่แตกต่างกันไป ล้วนแล้วแต่ตราตรึงใจผู้มาเยือนทั้งนั้น หากมีโอกาส อย่าลืมลองไปสัมผัสความมีเสน่ห์ของประเทศญี่ปุ่นกันนะ

ตื่นตาตื่นใจกับพืชพรรณตระการตา ที่ Gardens by the Bay

สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกับมาเลเซีย เมื่อก่อนสิงคโปร์ถือเป็นประเทศเดียวกับมาเลเซีย โดยเพิ่งมาแยกจากกันในช่วงปี ค.ศ.1960 จากนั้นประเทศสิงคโปรก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว พูดเลยได้ว่านอกจากเศรษฐกิจที่น่าจับตามองแล้ว การท่องเที่ยวที่สิงคโปร์ตอนนี้ก็ถือว่าน่าสนใจเหมือนกัน แม้จะเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าจังหวัดภูเก็ตของเมืองไทยเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าไปในประเทศต่อปีได้อย่างมากมาย

บ้านเมืองสีเขียวของประเทศสิงคโปร์

ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีอากาศร้อนชื้นและมีฝนตกเกือบตลอดทั้งปี มีอากาศไม่ต่างจากเมืองไทยเท่าไหร่ แต่เมื่อเราได้เยือนสิงคโปร์ เราจะได้เห็นต้นไม้มากมาก มีสีเขียวเรียงรายอย่างมีระเบียบตามทางเดินและกลางท้องถนนเ ถึงแม้ว่าพื้นที่ส่วนมากจะเป็นตึกสูง แต่ก็มีต้นไม้ที่คอยทำให้อากาศไม่ร้อนอบอ้าวจนเกินไปนักก็ว่าได้ โดยเราจะเห็นได้ว่าประเทศสิงคโปร์มีการเล็งเห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติพอสมควร

Marina Bay Sand สวนที่รวมความศิวิไลซ์และธรรมชาติเข้ากันอย่างกลมกลืน

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของสิงคโปร์เลยคือ Gardens by the Bay ที่โดดเด่นด้วยต้นไม้ยักษ์สีสันสดใส ครอบด้วยเหล็กที่ผ่านการออกแบบมาให้คล้ายกับต้นไม้ และมีต้นไม้เลื้อยอยู่ภายในสูงตระหง่าย โดยต้นไม้นี้เรียกว่า Supertree Grove มีขนาดเท่ากับตึกสูง 16 ชั้น และจะยิ่งสวยงามมากเมื่อเปิดไฟเด่นในยามค่ำคืน โดยนักท่องเที่ยวสามารถซื้อบัตรเดินขึ้นไปเที่ยวข้างบน Supertree Grove ที่มีชื่อเรียกว่า OCBC Skyway ได้อีกด้วย

หรือหากอยากจะชมพืชพรรณนานาชนิด นักท่องเที่ยวสามารถซื้อบัตรเข้าไปชมในโดมเรือนกระจกที่ไม่ใช้เสาในโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดของโลก และมีการจัดแสดงต้นไม้และดอกไม้หายากมากมาย พร้อมด้วยงานศิลปะจากศิลปินชื่อดัง ที่บ่งบอกความเอกลักษณ์และความเป็นมาของประเทศสิงคโปร์ได้อย่างชัดเจน โดยเค้าจะมี 2 โดมให้นักท่องเที่ยวเลือกชมกันนั้นคือ Flower Dome และ Cloud Forest

Flower Dome จะเป็นโดมเรือนกระจกปรับอากาศที่เต็มไปด้วยดอกไม้สวย ๆ มากมาย บางครั้งก็จะมีการจัดนิทรรศการแสดงดอกไม้สวย ๆ จากต่างประเทศตามฤดูกาลอีกด้วย

Cloud Forest คือโดมเรือนกระจกที่มีการออกแบบที่สวยงามล้ำสมัย จัดแสดงพันธุ์ไม้ป่าดิบชื้น พร้อมน้ำตกที่สูงกว่า 35 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชมบนน้ำตกได้ด้วย ซึ่งน้ำตกนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นน้ำตกในร่มที่ใหญ่ที่สุดของโลก

แม้จะเป็นบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยความเจริญ แต่สิงคโปร์ก็ยังไม่ได้มองข้ามความสำคัญของธรรมชาติสีเขียว ที่จะทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นและมีอากาศที่บริสุทธิ์ สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้สูดอากาศสดชื่นตลอดเวลาที่เดินทางท่องเที่ยวในเมือง แถมยังทำให้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศมีสุขภาพจิตใจและร่างกายที่ดีอีกด้วย ถือว่าเป็นแนวคิดที่น่ายกย่องและชมเชยจริง ๆ

เที่ยวสบายไม่ไกลจากไทย ทริปเที่ยวทีทั้งอิ่มใจและอิ่มบุญที่ฮ่องกง

คนไทยส่วนมากเป็นชาวพุทธ ดังนั้นจึงนับถือในศาสนาพุทธและชอบเข้าวัดเป็นชีวิตจิตใจ นอกจากประเทศไทยแล้วก็ยังมีประเทศที่ใกล้ ๆ กับเราอีกประเทศหนึ่งที่เต็มไปด้วยวัดและวิถีชาวพุทธ อย่างเช่นประเทศฮ่องกง โดยฮ่องกงเป็นประเทศที่คนไทยนิยมไปท่องเที่ยวที่สุด แม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ สวนสนุกชื่อดังระดับโลกหรือวัดที่เก่าแก่น่าเลื่อมใส ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินเพียงแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แถมค่าโดยสารและค่าเครื่องบินก็ไม่แพงอีกด้วย (บางช่วงมีโปรโมชั่น ค่าโรงแรมและค่าเครื่องบินไป – กลับรวมกันไม่ถึง 1 หมื่นบาทก็มีนะ)

กิจกรรมน่าสนใจที่นักท่องเที่ยวมักนิยมไปทำกันเมื่อเดินทางไปที่ฮ่องกงก็คือการตระเวนไหว้พระและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง โดยที่ฮ่องกงนั้นมีศาสนาประจำชาติคือศาสนาพุทธลัทธิมหายาน ดังนั้นจึงมีวัดและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามรูปแบบพุทธลัทธิมหายานอยู่มากมาย แถมยังขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องให้โชคลาภ ทำให้โชคดีปลอดภัย จนกระทั่งทำให้เจอเนื้อคู่ (อันสุดท้ายนี้ท่าทางจะถูกใจใครหลาย ๆ คน)

วัดเจ้าแม่กวนอิม (Tin Hau Temple)

วัดในฮ่องกงที่เขาว่ากันว่าเด็ด! จะมี วัดเจ้าแม่กวนอิม (Tin Hau Temple) ที่อ่าว Repulse Bay โดยวัดนี้จะถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง ถึงแม้จะต้องใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน เพราะต้องโดยสารรถบัสประจำทางออกไปนอกตัวเมืองเป็นระยะเวลากว่า 30 นาที และต้องเดินเลียบชายหาดอีกนิดหน่อย แต่วัดนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มากในเรื่องของการขอบุตร สามารถเลือกขอได้ว่าต้องการลูกสาวหรือลูกชาย โดยการลูบที่ท้องพระพุธรูปพระสังกัจจาย หากลูบที่ท้องด้านซ้ายก็จะได้ลูกชาย ลูบที่ทองด้านขวาก็จะได้ลูกสาว ส่วนกิจกรรมอีกอย่างที่นักท่องเที่ยวมากมายนิยมทำกันก็คือ การเดินข้ามสะพานแดงโดยไม่หันหลังกลับ จะถือเป็นการต่ออายุผู้ที่ข้ามไปอีก 3 ปี

วัดกังหัน หรือ วัดแชกงหมิว

ส่วนอีกที่หนึ่งที่อยากจะแนะนำก็คือวัดกังหัน หรือวัดแชกงหมิว วัดที่ยอดนิยมสุด ๆ ในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย สังเกตได้จากการได้เจอคนไทยทุกครั้งที่เข้าไปในบริเวณวัด โดยมีความเชื่อว่ากังหันลมของวัดจะสามารถพัดพาและปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกจากชีวิตของผู้ที่สักการะได้ โดยภายในวัดจะมีกังหันลมใหญ่ตั้งอยู่ วิธีการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายก็คือให้ใช้นิ้วชี้ด้านซ้ายหมุนจากด้านขวาไปทางด้านซ้าย ก่อนที่จะตีกลอง 3 ครั้ง ก็เป็นอันจบพิธี และสำหรับผู้ที่อยากจะไหว้ขอพร ทางวัดก็มีบริการธูปเทียน พร้อมวิธีการไหว้เป็นภาษาไทย (คนของวัดก็พูดภาษาไทยได้ในระดับหนึ่งด้วยนะ) เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วง

เรียกได้ว่า ฮ่องกงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีสีสันและความเจริญ ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทย นอกจากจะมีเอกลักษณ์ทางด้านศาสนาที่โดดเด่นแล้ว ก็ยังมีระบบคมนาคมรถไฟฟ้าใต้ดินและรถบัสที่อำนวยประโยชน์กับคนในประเทศและนักท่องเที่ยว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มหัดเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเองอีกด้วย

อิสตันบูลเมืองหลวงตุรกี เมือง 2 ทวีป ผสมวัฒนธรรมอิสลาม-คริสต์

                 เมื่อเครื่องโบอิ้งจากสุวรรณภูมิ ลงจอดที่สนามบินอตาเติร์ก หัวใจนักท่องเที่ยวที่ยังไม่เคยเยือนตุรกีก็พองโตกันทุกคน สีหน้าดูจะตื่นเต้นและเมื่อยล้าจากการต้องนั่งอยู่กับที่ประมาณ 8 ชั่วโมง เดินทางผ่านทั้งพม่า อ่าวเบงกอล ปากีสถาน บินเฉียดอัฟกานิสถานหน่อย ๆ และบินผ่านอิหร่าน รวม 4 ประเทศ ระยะทาง 6,820 กิโลเมตร ความรู้สึกเมื่อเข้ามาในสนามบินและนั่งรถผ่านตัวเมือง เหมือนกับที่เคยเห็นในหนัง เพียงแต่ภาพตรงหน้าเป็นของจริง ยิ่งกว่า 3D ภาษาที่สื่อสารก็ใช้ภาษาอังกฤษ เพียงแต่บางคนพูดชัดบ้าง พูดอังกฤษสำเนียงตุรกีบ้าง และพูดได้แต่ภาษาตุรกีอย่างเดียวก็เยอะ เพียงแต่ใช้ภาษามือสื่อสารก็พอที่จะเข้าใจกันได้ และถึงแม้ค่าเงินในยุโรปจะเป็นยูโร แต่ผู้ให้บริการในอิสตันบูลกลับยินดีรับเงินลีราตุรกีมากกว่า (เรียกสั้น ๆ ว่าลีรา) ในอิสตันบูล อากาศที่เมืองหลวงแห่งนี้มักจะมีลมแรง หน้าร้อนจะอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน อุณหภูมิส่วนมากอยู่ที่ 19-28 องศาเซลเซียส ช่วงร้อนมากที่สุดอยู่ที่จะเกิน 30 องศาเซลเซียส จนถึงร้อนพอ ๆ กับประเทศไทย เพียงแต่อากาศแห้งจึงไม่รู้สึกเหนียวตัว ฤดูใบไม้ร่วงเริ่มปลายกันยายนถึงต้นธันวาคม อุณหภูมิอยู่ที่ 9-19 องศาเซลเซียส โดยในเดินพฤศจิกายน อุณหภูมิจะเริ่มลดลงเป็นสัญญาณของฤดูหนาว ซึ่งจะอยู่ตั้งแต่ธันวาคมถึงมีนาคมที่ 6-9 องศาเซลเซียส และสุดท้ายคือฤดูใบไม้ผลิในช่วงปลายมีนาคมถึงพฤษภาคม มีอุณหภูมิ 12-20 องศาเซลเซียส

สภาพภูมิประเทศของอิสตันบูลจะเป็นเนินสลับที่ราบ จึงเห็นตึกต่าง ๆ มากมายตั้งอยู่บนเนินหรือทางชัน รถที่สัญจรก็จอดบนเนินหน้าประตูทางเข้าอาคารกันเต็มไปหมด บรรยากาศร้านรวงก็ดูเก่าแก่ ห้องครัวของร้านอาหารอยู่ที่ห้องใต้ดินก็มี และที่พลาดไม่ได้สำหรับนักชิม คือ มีทบอล (köfte) ในย่านสุลต่านอาเหม็ด และโยเกิร์ต (Ayran) ที่คนท้องถิ่นนิยมกันมาก ทางด้านเครื่องดื่มที่เห็นคนตุรกีดื่มกันตลอดทั้งวัน คือ ชา (Çay) ที่ถ้าหากเดินไปในละแวกร้านค้าชุมชนจะพบโต๊ะหน้าร้านและมีนักดื่มชานั่งอยู่ทั่วไป และของฝากที่ขึ้นชื่อเหลือเกินของตุรกี คือ กาแฟ (Türk Kahvesi) หรือถ้าจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Turkish Coffee นั่นเอง

สถานที่ท่องเที่ยวในอิสตันบูลที่พลาดไม่ได้มีหลายแห่ง เช่น อายาโซเฟีย (Ayasofya หรือ Hagia Sophia) ซึ่งมียอดโดมอันตระการตาอายุมากกว่า 1,500 ปี สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งโบสถ์และมัสยิด โดยเป็นโบสถ์นิกายออร์ทอดอกซ์ใน 1,000 ปีแรก และ 500 ปีหลังก็ถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดโดยมุฮัมหมัด อีลฟาติห์ ในปี ค.ศ. 1453 และกลายเป็นพิพิธภัณฑ์อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ปัจจุบันก็ได้เป็นมัสยิดโดยสมบูรณ์ สถานที่ที่ 2 ที่ต้องไปคือ สุเหร่าสีฟ้า (Blue Mosque) ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1609 ถึง 1616 ซึ่งสีฟ้ามาจากสีกระเบื้องบนกำแพงด้านใน ที่มีลวดลายสีฟ้าของดอกไม้นานาชนิด แต่ก็มีลักษณะคล้ายอายาโซเฟีย เพราะผู้สร้างต้องการสร้างสุเหร่าที่อลังการมากยิ่งกว่าอายาโซเฟียที่สร้างเพื่อเป็นโบสถ์คริสต์ ก่อนที่จะเข้าไปในสุเหร่าสีฟ้า นักท่องเที่ยวต้องถอดรองเท้าออกก่อน

การเดินทางในอิสตันบูลนอกจากจะมีรถบนทางถนนแล้ว ยังมีรถรางวิ่งในเมืองอีกด้วย (Tram) ในการเดินเล่นชมเมือง เริ่มตั้งแต่จัตุรัสตักซิม (Taksim Square) ซึ่งมีตลาดกลางคืนซึ่งเป็นย่านร้านค้าหลักของอิสตันบูล ที่มีร้านอาหาร บาร์ และเป็นแหล่งชอปปิ้งแบรนด์เนม คนไทยไปเที่ยวตุรกีอาจแปลกใจสักหน่อย เพราะช่วง 3 ทุ่มจะเพิ่งเริ่มค่ำเท่านั้น มนต์เสน่ห์ของสถานที่แห่งนี้มีทั้งผู้คน วัฒนธรรม ทัศนียภาพ และอาหาร ไปเพียง 5 วันอาจซึมซับอิสตันบูลได้ไม่หมด แต่ลองไปสักครั้งจะรู้สึกเหมือนไปดาวอีกดวงหนึ่ง

 

ลาส เวกัส เมืองสำหรับนักพนัน นักสังสรรค์ และครอบครัวท่องเที่ยว

ทุกคนทั่วโลกรู้ว่าลาส เวกัส เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญ ที่เน้นความบันเทิงและบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยลาส เวกัส เป็นชื่อในภาษาสเปน ถ้าแปลเป็นไทยจะชื่อว่า “ทุ่งหญ้า” (Meadows) ซึ่งอาณาบริเวณโดยรอบของเมืองนี้ เป็นทะเลทรายสลับภูเขาหินทรายทั้งหมด ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า ที่ชื่อลาส เวกัส ก็เพราะเป็นทุ่งที่ราบเรียบว่างเปล่า แต่มีพืชทะเลทรายปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ เมื่อปีคริสตศักราช 1829 ราฟาเอล ริเวร่า (Rafael Rivera) นับเป็นบุคคลแรกที่ไม่ใช่ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน ที่ได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้เป็นคนแรก ต่อมาในปี 1905 ก็ลาส เวกัส จึงตั้งเป็นเมืองขึ้นมา และตั้งแต่ปี 1931 รัฐเนวาด้าได้ส่งเสริมการพนัน และตั้งแต่นั้น ลาส เวกัส ก็กลายเป็นเมืองแห่งการพนันมาจนถึงปัจจุบัน

นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน เพราะลาส เวกัสเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับ มีคนเดินพลุกพล่านตลอดเวลา จะบางตาเอาก็ช่วงตี 5 เพียงสักครู่เท่านั้นเอง ด้านระบบขนส่งก็ทำได้ดีมาก ทั้งรถประจำทาง รถแท็กซี่ รถรับส่งของโรงแรม หรือรถเช่า แม้แต่การแข่งขันชกมวยระดับโลกก็มักมาจัดที่โรงแรมเอ็มจีเอ็มแกรนด์ (MGM Grand) เป็นประจำ ร้านค้า ร้านอาหาร เปิด 24 ชม. ขณะเดินเที่ยวริมฟุตบาทก็สามารถถือขวดเครื่องดื่มในภาชนะที่ได้รับอนุญาตเดินไปด้วยได้ และทุก ๆ โรงแรมจะมีบริการคาสิโนที่ล็อบบี้ นั่นคือนักท่องเที่ยวพักผ่อนในห้องพัก ทานอาหาร และกดลิฟท์ลงไปข้างล่างก็สามารถเข้าสู่โลกของความบันเทิงได้ทันที โดยที่ล็อบบี้ของทุกโรงแรมจะมีคาสิโน เช่น โป๊คเกอร์ แบล็คแจ็ค รูเล็ต หรือตู้สล็อตแมชชีน ระหว่างเล่นก็มีพนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มให้นักเล่นอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ต้องให้ทิปในราคาที่สมเหตุสมผลแก่พนักงาน (5-10 ดอลล่าห ถ้าให้น้อยพนักงานอาจไม่มาเสิร์ฟนักเล่นอีก) หนึ่งคืนมีนักเล่นประสบความสำเร็จชนะพนันหลักพันดอลล่าหก็มีหลายคน หรือจะนั่งเล่นสล็อตแมชชีนจิบเครื่องดื่มไปพลาง ๆ ก็ย่อมได้

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการพนัน เมืองแห่งโลกีย์ เมืองสำหรับผู้ที่ลุ่มหลงความบันเทิงอันไร้ขีดจำกัด แต่ที่จริงแล้ว ลาส เวกัส เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวทุกประเภท ทุกเพศ ทุกวัย เพราะมีความปลอดภัยสูงมาก นอกจากความบันเทิงจากเกมพนันแล้ว การเดินเล่นรอบดาวน์ทาวน์ก็เป็นสิ่งดึงดูดได้ เช่น ไปชมการแสดงน้ำพุระดับโลกที่หน้าโรงแรม Bellagio (ชมฟรี) หรือการเข้าไปสัมผัสบรรยากาศเวนิสที่โรงแรม Venetian อีกทั้งยังเป็นการเยี่ยมชมพิพิธพันธ์มีชื่อเสียงหลายแห่ง ทั้งพิพิธภัณฑ์เดอะม็อบ (The Mob Museum) ซึ่งเก็บรวมรวมตำนานแก๊งมาเฟีย เช่น อัล คาโปน, จอห์น ก็อตติ, บักซี ซีเกล ฯลฯ หรือชมพิพิธภัณฑ์รถยนต์นอสทัลเกีย สตรีท รอดส์ (Nostalgia Street Rods) และที่พลาดไม่ได้เลยคือการขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์ (High Roller) เพื่อมองเห็นลาส เวกัสได้ทั้งเมือง หรือเห็นทัศนียภาพทะเลทรายได้เลยทีเดียว

นอกจากความบันเทิงแบบผู้ใหญ่ ลาส เวกัส ก็มีทั้งคอนเสิร์ตจากวงดนตรีระดับโลกจัดบ่อยมาก ทอล์คโชว์โดยนักพูดที่มีชื่อเสียงของอเมริกา สวนสัตว์ โรงหนัง ร้านอาหารราคาย่อมเยาที่มีวัตถุดิบแปลก ห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง รวมถึงเอาท์เล็ทที่ถือว่าเป็นแหล่งรวมสินค้าแบรนด์ดังขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ลองไปลาส เวกัส สักครั้ง จะประทับใจไม่มีวันลืม

 

แกรนด์แคนย่อน เมืองเล็กบนเขา ในฝันของนักท่องเที่ยว

                 นักท่องเที่ยวหลายคนใฝ่ฝันการเดินทางไปสถานที่ที่ห่างไกลจากบ้านของตนเอง ยิ่งไกล ยิ่งเจอสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แต่น่าแปลกที่รู้สึกสนุกไปกับสิ่งเหล่านั้นที่ได้พบเจอ ทั้งระหว่างการเดินทางและในจุดหมายปลายทาง ทั้งคนแปลกหน้าที่กลายมาเป็นเพื่อนในภายหลัง การพูดภาษาในชีวิตประจำวันที่ปกติพูดแต่ภาษาไทย แต่ช่วงเวลานั้นตื่นมาจนเข้านอนต้องใช้แต่ภาษาอังกฤษ สปาเก็ตตี้หรือเบอร์เกอร์ที่กลายเป็นอาหารประจำวันและต้องกินทุกวัน หิมะที่เพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในชีวิต พืชพรรณไม้แปลกใหม่ ช่องเดินรถยังต้องสลับด้านจากซ้ายไปอยู่ทางขวา กระรอกที่ตอนอยู่เมืองไทยจะเห็นแค่บนกิ่งไม้รึไม่ก็เสาไฟฟ้า กลายมาเป็นได้เห็นพวกมันเพ่นพ่านคุ้ยเขี่ยขยะอยู่ทั่วไป หรือแม้แต่การยิ้มให้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนขณะเดินสวนกัน ถ้ายิ้มให้คนแปลกหน้าในไทยคงถูกมองว่าแปลก หรือคิดกันไปว่าต้องการบางอย่างถึงได้ยิ้มอย่างนั้นออกมาเป็นแน่ แต่สถานที่นั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นเมืองแห่งการแสดงออก และอุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนย่อน เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ของทั้งคนอเมริกันและนักท่องเที่ยวทั่วโลก

การได้นั่งดูทิวเขาแกรนด์แคนย่อนพร้อมนั่งจิบเบียร์ไปพลาง ๆ จวบจนพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมกับมีเสียงขลุ่ยของชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American) เผ่านาบาโฮ (Navajo) คลอออกมาจากลำโพงของพิพิธภัณฑ์ใกล้กับริมหน้าผานั้น เป็นความรู้สึกที่ยากเกินบรรยาย ลมที่พัดขึ้นมาจากหน้าผาหลายร้อยเมตร บ้างก็หนาว บ้างก็เย็นกำลังพอดี ทัศนียภาพที่อยู่ตรงหน้านิ่งสงบบ้าง ท้องฟ้าจากตะวันลับเป็นสีแดงบ้าง หรือทิวเขากลายเป็นสีขาวหลังจากหิมะตก นานครั้งอาจเห็นนกอินทรีย์บินอยู่ลิบ ๆ มองลงหน้าผาไปก็เห็นเป็นชั้นหินอายุนับล้านปี ที่ผู้รู้เล่าว่าแถวนี้แต่ก่อนเป็นทะเล จึงทำให้เกิดชั้นหินที่สวยงามและสลับซับซ้อนอย่างนี้ได้ แต่แกรนด์แคนย่อนไม่ได้มีดีเพียงแค่วิวหน้าผาเพียงเท่านั้น

สัตว์ป่าที่แกรนด์แคนย่อน หลายชนิดก็ถือว่าใกล้ชิดกันกับมนุษย์ได้ เช่น หากห้องพักอยู่ที่ชั้นล่างของรีสอร์ท บางครั้งเปิดประตูห้องออกไป ก็สามารถจ๊ะเอ๋กับกวางเอลฟ์ยืนเล็มใบไม้ที่หน้าห้องได้พอดี หรือแม้แต่กวางมูสตัวใหญ่ ก็มักจะมาเดินให้ผู้คนพบเห็นเป็นประจำ หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ที่บางปีแจ้งเตือนให้ประชาชนในแถบนั้นระวังหมีออกหากิน รวมถึงปศุสัตว์การเลี้ยงล่อ เพื่อไว้ใช้สำหรับกิจกรรมการท่องเที่ยวเดินทางไกล ตามแม่น้ำโคโลราโด ได้บรรยากาศคลาสสิคของคาวบอย และสัมผัสวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองอเมริกัน

ก่อนขึ้นไปบนแกรนด์แคนย่อนนั้น นักท่องเที่ยวนิยมแวะพักที่เมืองเล็ก ๆ ชื่อแฟลกสตาฟ (Flagstaff) ก่อน 1 คืน เพื่อเตรียมทั้งอุปกรณ์เดินไกล อุปกรณ์กันหนาว ซึ่งมีทางเลือกในการเดินทางขึ้นแกรนด์แคนย่อนทั้งรถไฟแบบโบราณ แทกซี่แบบเหมารับจ้าง (แทกซี่แพงที่สุด) รถตู้ (รถตู้ประหยัดที่สุด) และขับรถขึ้นไปเอง หากเลือกการเดินทางไปตามถนนลาดยาง ก็จะขับไปตามทางตรง สองข้างทางเวิ้งว้างคล้ายทะเลทราย เพียงแต่มีพืชขึ้นอยู่ประปราย เป็นระยะทาง 73.5 ไมล์ (118 กิโลเมตร) ก็จะถึงปากประตูทางเข้าอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีทั้งร้านอาหาร โรงหนัง โรงแรมตั้งอยู่ด้านหน้า และมีรถประจำทางของอุทยานมารับนักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้บริการเข้าไป

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การแนะนำโดยตัวหนังสือเพียงเท่านั้น แต่เมื่อไปสัมผัสจริงแล้ว ต้องเรียกได้ว่าคูณเข้าไปกี่เท่าก็ไม่อาจทราบได้ ทุกท่านโปรดไปสัมผัสด้วยตัวท่านเอง แล้วจะรู้ถึงความทรงจำที่ไม่รู้ลืมว่าเป็นอย่างไร