เที่ยวสบายไม่ไกลจากไทย ทริปเที่ยวทีทั้งอิ่มใจและอิ่มบุญที่ฮ่องกง

คนไทยส่วนมากเป็นชาวพุทธ ดังนั้นจึงนับถือในศาสนาพุทธและชอบเข้าวัดเป็นชีวิตจิตใจ นอกจากประเทศไทยแล้วก็ยังมีประเทศที่ใกล้ ๆ กับเราอีกประเทศหนึ่งที่เต็มไปด้วยวัดและวิถีชาวพุทธ อย่างเช่นประเทศฮ่องกง โดยฮ่องกงเป็นประเทศที่คนไทยนิยมไปท่องเที่ยวที่สุด แม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ สวนสนุกชื่อดังระดับโลกหรือวัดที่เก่าแก่น่าเลื่อมใส ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินเพียงแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แถมค่าโดยสารและค่าเครื่องบินก็ไม่แพงอีกด้วย (บางช่วงมีโปรโมชั่น ค่าโรงแรมและค่าเครื่องบินไป – กลับรวมกันไม่ถึง 1 หมื่นบาทก็มีนะ)

กิจกรรมน่าสนใจที่นักท่องเที่ยวมักนิยมไปทำกันเมื่อเดินทางไปที่ฮ่องกงก็คือการตระเวนไหว้พระและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง โดยที่ฮ่องกงนั้นมีศาสนาประจำชาติคือศาสนาพุทธลัทธิมหายาน ดังนั้นจึงมีวัดและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามรูปแบบพุทธลัทธิมหายานอยู่มากมาย แถมยังขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องให้โชคลาภ ทำให้โชคดีปลอดภัย จนกระทั่งทำให้เจอเนื้อคู่ (อันสุดท้ายนี้ท่าทางจะถูกใจใครหลาย ๆ คน)

วัดเจ้าแม่กวนอิม (Tin Hau Temple)

วัดในฮ่องกงที่เขาว่ากันว่าเด็ด! จะมี วัดเจ้าแม่กวนอิม (Tin Hau Temple) ที่อ่าว Repulse Bay โดยวัดนี้จะถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง ถึงแม้จะต้องใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน เพราะต้องโดยสารรถบัสประจำทางออกไปนอกตัวเมืองเป็นระยะเวลากว่า 30 นาที และต้องเดินเลียบชายหาดอีกนิดหน่อย แต่วัดนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มากในเรื่องของการขอบุตร สามารถเลือกขอได้ว่าต้องการลูกสาวหรือลูกชาย โดยการลูบที่ท้องพระพุธรูปพระสังกัจจาย หากลูบที่ท้องด้านซ้ายก็จะได้ลูกชาย ลูบที่ทองด้านขวาก็จะได้ลูกสาว ส่วนกิจกรรมอีกอย่างที่นักท่องเที่ยวมากมายนิยมทำกันก็คือ การเดินข้ามสะพานแดงโดยไม่หันหลังกลับ จะถือเป็นการต่ออายุผู้ที่ข้ามไปอีก 3 ปี

วัดกังหัน หรือ วัดแชกงหมิว

ส่วนอีกที่หนึ่งที่อยากจะแนะนำก็คือวัดกังหัน หรือวัดแชกงหมิว วัดที่ยอดนิยมสุด ๆ ในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย สังเกตได้จากการได้เจอคนไทยทุกครั้งที่เข้าไปในบริเวณวัด โดยมีความเชื่อว่ากังหันลมของวัดจะสามารถพัดพาและปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกจากชีวิตของผู้ที่สักการะได้ โดยภายในวัดจะมีกังหันลมใหญ่ตั้งอยู่ วิธีการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายก็คือให้ใช้นิ้วชี้ด้านซ้ายหมุนจากด้านขวาไปทางด้านซ้าย ก่อนที่จะตีกลอง 3 ครั้ง ก็เป็นอันจบพิธี และสำหรับผู้ที่อยากจะไหว้ขอพร ทางวัดก็มีบริการธูปเทียน พร้อมวิธีการไหว้เป็นภาษาไทย (คนของวัดก็พูดภาษาไทยได้ในระดับหนึ่งด้วยนะ) เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วง

เรียกได้ว่า ฮ่องกงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีสีสันและความเจริญ ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทย นอกจากจะมีเอกลักษณ์ทางด้านศาสนาที่โดดเด่นแล้ว ก็ยังมีระบบคมนาคมรถไฟฟ้าใต้ดินและรถบัสที่อำนวยประโยชน์กับคนในประเทศและนักท่องเที่ยว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มหัดเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเองอีกด้วย

อิสตันบูลเมืองหลวงตุรกี เมือง 2 ทวีป ผสมวัฒนธรรมอิสลาม-คริสต์

                 เมื่อเครื่องโบอิ้งจากสุวรรณภูมิ ลงจอดที่สนามบินอตาเติร์ก หัวใจนักท่องเที่ยวที่ยังไม่เคยเยือนตุรกีก็พองโตกันทุกคน สีหน้าดูจะตื่นเต้นและเมื่อยล้าจากการต้องนั่งอยู่กับที่ประมาณ 8 ชั่วโมง เดินทางผ่านทั้งพม่า อ่าวเบงกอล ปากีสถาน บินเฉียดอัฟกานิสถานหน่อย ๆ และบินผ่านอิหร่าน รวม 4 ประเทศ ระยะทาง 6,820 กิโลเมตร ความรู้สึกเมื่อเข้ามาในสนามบินและนั่งรถผ่านตัวเมือง เหมือนกับที่เคยเห็นในหนัง เพียงแต่ภาพตรงหน้าเป็นของจริง ยิ่งกว่า 3D ภาษาที่สื่อสารก็ใช้ภาษาอังกฤษ เพียงแต่บางคนพูดชัดบ้าง พูดอังกฤษสำเนียงตุรกีบ้าง และพูดได้แต่ภาษาตุรกีอย่างเดียวก็เยอะ เพียงแต่ใช้ภาษามือสื่อสารก็พอที่จะเข้าใจกันได้ และถึงแม้ค่าเงินในยุโรปจะเป็นยูโร แต่ผู้ให้บริการในอิสตันบูลกลับยินดีรับเงินลีราตุรกีมากกว่า (เรียกสั้น ๆ ว่าลีรา) ในอิสตันบูล อากาศที่เมืองหลวงแห่งนี้มักจะมีลมแรง หน้าร้อนจะอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน อุณหภูมิส่วนมากอยู่ที่ 19-28 องศาเซลเซียส ช่วงร้อนมากที่สุดอยู่ที่จะเกิน 30 องศาเซลเซียส จนถึงร้อนพอ ๆ กับประเทศไทย เพียงแต่อากาศแห้งจึงไม่รู้สึกเหนียวตัว ฤดูใบไม้ร่วงเริ่มปลายกันยายนถึงต้นธันวาคม อุณหภูมิอยู่ที่ 9-19 องศาเซลเซียส โดยในเดินพฤศจิกายน อุณหภูมิจะเริ่มลดลงเป็นสัญญาณของฤดูหนาว ซึ่งจะอยู่ตั้งแต่ธันวาคมถึงมีนาคมที่ 6-9 องศาเซลเซียส และสุดท้ายคือฤดูใบไม้ผลิในช่วงปลายมีนาคมถึงพฤษภาคม มีอุณหภูมิ 12-20 องศาเซลเซียส

สภาพภูมิประเทศของอิสตันบูลจะเป็นเนินสลับที่ราบ จึงเห็นตึกต่าง ๆ มากมายตั้งอยู่บนเนินหรือทางชัน รถที่สัญจรก็จอดบนเนินหน้าประตูทางเข้าอาคารกันเต็มไปหมด บรรยากาศร้านรวงก็ดูเก่าแก่ ห้องครัวของร้านอาหารอยู่ที่ห้องใต้ดินก็มี และที่พลาดไม่ได้สำหรับนักชิม คือ มีทบอล (köfte) ในย่านสุลต่านอาเหม็ด และโยเกิร์ต (Ayran) ที่คนท้องถิ่นนิยมกันมาก ทางด้านเครื่องดื่มที่เห็นคนตุรกีดื่มกันตลอดทั้งวัน คือ ชา (Çay) ที่ถ้าหากเดินไปในละแวกร้านค้าชุมชนจะพบโต๊ะหน้าร้านและมีนักดื่มชานั่งอยู่ทั่วไป และของฝากที่ขึ้นชื่อเหลือเกินของตุรกี คือ กาแฟ (Türk Kahvesi) หรือถ้าจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Turkish Coffee นั่นเอง

สถานที่ท่องเที่ยวในอิสตันบูลที่พลาดไม่ได้มีหลายแห่ง เช่น อายาโซเฟีย (Ayasofya หรือ Hagia Sophia) ซึ่งมียอดโดมอันตระการตาอายุมากกว่า 1,500 ปี สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งโบสถ์และมัสยิด โดยเป็นโบสถ์นิกายออร์ทอดอกซ์ใน 1,000 ปีแรก และ 500 ปีหลังก็ถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดโดยมุฮัมหมัด อีลฟาติห์ ในปี ค.ศ. 1453 และกลายเป็นพิพิธภัณฑ์อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ปัจจุบันก็ได้เป็นมัสยิดโดยสมบูรณ์ สถานที่ที่ 2 ที่ต้องไปคือ สุเหร่าสีฟ้า (Blue Mosque) ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1609 ถึง 1616 ซึ่งสีฟ้ามาจากสีกระเบื้องบนกำแพงด้านใน ที่มีลวดลายสีฟ้าของดอกไม้นานาชนิด แต่ก็มีลักษณะคล้ายอายาโซเฟีย เพราะผู้สร้างต้องการสร้างสุเหร่าที่อลังการมากยิ่งกว่าอายาโซเฟียที่สร้างเพื่อเป็นโบสถ์คริสต์ ก่อนที่จะเข้าไปในสุเหร่าสีฟ้า นักท่องเที่ยวต้องถอดรองเท้าออกก่อน

การเดินทางในอิสตันบูลนอกจากจะมีรถบนทางถนนแล้ว ยังมีรถรางวิ่งในเมืองอีกด้วย (Tram) ในการเดินเล่นชมเมือง เริ่มตั้งแต่จัตุรัสตักซิม (Taksim Square) ซึ่งมีตลาดกลางคืนซึ่งเป็นย่านร้านค้าหลักของอิสตันบูล ที่มีร้านอาหาร บาร์ และเป็นแหล่งชอปปิ้งแบรนด์เนม คนไทยไปเที่ยวตุรกีอาจแปลกใจสักหน่อย เพราะช่วง 3 ทุ่มจะเพิ่งเริ่มค่ำเท่านั้น มนต์เสน่ห์ของสถานที่แห่งนี้มีทั้งผู้คน วัฒนธรรม ทัศนียภาพ และอาหาร ไปเพียง 5 วันอาจซึมซับอิสตันบูลได้ไม่หมด แต่ลองไปสักครั้งจะรู้สึกเหมือนไปดาวอีกดวงหนึ่ง

 

ลาส เวกัส เมืองสำหรับนักพนัน นักสังสรรค์ และครอบครัวท่องเที่ยว

ทุกคนทั่วโลกรู้ว่าลาส เวกัส เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญ ที่เน้นความบันเทิงและบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยลาส เวกัส เป็นชื่อในภาษาสเปน ถ้าแปลเป็นไทยจะชื่อว่า “ทุ่งหญ้า” (Meadows) ซึ่งอาณาบริเวณโดยรอบของเมืองนี้ เป็นทะเลทรายสลับภูเขาหินทรายทั้งหมด ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า ที่ชื่อลาส เวกัส ก็เพราะเป็นทุ่งที่ราบเรียบว่างเปล่า แต่มีพืชทะเลทรายปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ เมื่อปีคริสตศักราช 1829 ราฟาเอล ริเวร่า (Rafael Rivera) นับเป็นบุคคลแรกที่ไม่ใช่ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน ที่ได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้เป็นคนแรก ต่อมาในปี 1905 ก็ลาส เวกัส จึงตั้งเป็นเมืองขึ้นมา และตั้งแต่ปี 1931 รัฐเนวาด้าได้ส่งเสริมการพนัน และตั้งแต่นั้น ลาส เวกัส ก็กลายเป็นเมืองแห่งการพนันมาจนถึงปัจจุบัน

นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน เพราะลาส เวกัสเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับ มีคนเดินพลุกพล่านตลอดเวลา จะบางตาเอาก็ช่วงตี 5 เพียงสักครู่เท่านั้นเอง ด้านระบบขนส่งก็ทำได้ดีมาก ทั้งรถประจำทาง รถแท็กซี่ รถรับส่งของโรงแรม หรือรถเช่า แม้แต่การแข่งขันชกมวยระดับโลกก็มักมาจัดที่โรงแรมเอ็มจีเอ็มแกรนด์ (MGM Grand) เป็นประจำ ร้านค้า ร้านอาหาร เปิด 24 ชม. ขณะเดินเที่ยวริมฟุตบาทก็สามารถถือขวดเครื่องดื่มในภาชนะที่ได้รับอนุญาตเดินไปด้วยได้ และทุก ๆ โรงแรมจะมีบริการคาสิโนที่ล็อบบี้ นั่นคือนักท่องเที่ยวพักผ่อนในห้องพัก ทานอาหาร และกดลิฟท์ลงไปข้างล่างก็สามารถเข้าสู่โลกของความบันเทิงได้ทันที โดยที่ล็อบบี้ของทุกโรงแรมจะมีคาสิโน เช่น โป๊คเกอร์ แบล็คแจ็ค รูเล็ต หรือตู้สล็อตแมชชีน ระหว่างเล่นก็มีพนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มให้นักเล่นอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ต้องให้ทิปในราคาที่สมเหตุสมผลแก่พนักงาน (5-10 ดอลล่าห ถ้าให้น้อยพนักงานอาจไม่มาเสิร์ฟนักเล่นอีก) หนึ่งคืนมีนักเล่นประสบความสำเร็จชนะพนันหลักพันดอลล่าหก็มีหลายคน หรือจะนั่งเล่นสล็อตแมชชีนจิบเครื่องดื่มไปพลาง ๆ ก็ย่อมได้

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการพนัน เมืองแห่งโลกีย์ เมืองสำหรับผู้ที่ลุ่มหลงความบันเทิงอันไร้ขีดจำกัด แต่ที่จริงแล้ว ลาส เวกัส เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวทุกประเภท ทุกเพศ ทุกวัย เพราะมีความปลอดภัยสูงมาก นอกจากความบันเทิงจากเกมพนันแล้ว การเดินเล่นรอบดาวน์ทาวน์ก็เป็นสิ่งดึงดูดได้ เช่น ไปชมการแสดงน้ำพุระดับโลกที่หน้าโรงแรม Bellagio (ชมฟรี) หรือการเข้าไปสัมผัสบรรยากาศเวนิสที่โรงแรม Venetian อีกทั้งยังเป็นการเยี่ยมชมพิพิธพันธ์มีชื่อเสียงหลายแห่ง ทั้งพิพิธภัณฑ์เดอะม็อบ (The Mob Museum) ซึ่งเก็บรวมรวมตำนานแก๊งมาเฟีย เช่น อัล คาโปน, จอห์น ก็อตติ, บักซี ซีเกล ฯลฯ หรือชมพิพิธภัณฑ์รถยนต์นอสทัลเกีย สตรีท รอดส์ (Nostalgia Street Rods) และที่พลาดไม่ได้เลยคือการขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์ (High Roller) เพื่อมองเห็นลาส เวกัสได้ทั้งเมือง หรือเห็นทัศนียภาพทะเลทรายได้เลยทีเดียว

นอกจากความบันเทิงแบบผู้ใหญ่ ลาส เวกัส ก็มีทั้งคอนเสิร์ตจากวงดนตรีระดับโลกจัดบ่อยมาก ทอล์คโชว์โดยนักพูดที่มีชื่อเสียงของอเมริกา สวนสัตว์ โรงหนัง ร้านอาหารราคาย่อมเยาที่มีวัตถุดิบแปลก ห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง รวมถึงเอาท์เล็ทที่ถือว่าเป็นแหล่งรวมสินค้าแบรนด์ดังขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ลองไปลาส เวกัส สักครั้ง จะประทับใจไม่มีวันลืม

 

แกรนด์แคนย่อน เมืองเล็กบนเขา ในฝันของนักท่องเที่ยว

                 นักท่องเที่ยวหลายคนใฝ่ฝันการเดินทางไปสถานที่ที่ห่างไกลจากบ้านของตนเอง ยิ่งไกล ยิ่งเจอสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แต่น่าแปลกที่รู้สึกสนุกไปกับสิ่งเหล่านั้นที่ได้พบเจอ ทั้งระหว่างการเดินทางและในจุดหมายปลายทาง ทั้งคนแปลกหน้าที่กลายมาเป็นเพื่อนในภายหลัง การพูดภาษาในชีวิตประจำวันที่ปกติพูดแต่ภาษาไทย แต่ช่วงเวลานั้นตื่นมาจนเข้านอนต้องใช้แต่ภาษาอังกฤษ สปาเก็ตตี้หรือเบอร์เกอร์ที่กลายเป็นอาหารประจำวันและต้องกินทุกวัน หิมะที่เพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในชีวิต พืชพรรณไม้แปลกใหม่ ช่องเดินรถยังต้องสลับด้านจากซ้ายไปอยู่ทางขวา กระรอกที่ตอนอยู่เมืองไทยจะเห็นแค่บนกิ่งไม้รึไม่ก็เสาไฟฟ้า กลายมาเป็นได้เห็นพวกมันเพ่นพ่านคุ้ยเขี่ยขยะอยู่ทั่วไป หรือแม้แต่การยิ้มให้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนขณะเดินสวนกัน ถ้ายิ้มให้คนแปลกหน้าในไทยคงถูกมองว่าแปลก หรือคิดกันไปว่าต้องการบางอย่างถึงได้ยิ้มอย่างนั้นออกมาเป็นแน่ แต่สถานที่นั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นเมืองแห่งการแสดงออก และอุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนย่อน เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ของทั้งคนอเมริกันและนักท่องเที่ยวทั่วโลก

การได้นั่งดูทิวเขาแกรนด์แคนย่อนพร้อมนั่งจิบเบียร์ไปพลาง ๆ จวบจนพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมกับมีเสียงขลุ่ยของชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American) เผ่านาบาโฮ (Navajo) คลอออกมาจากลำโพงของพิพิธภัณฑ์ใกล้กับริมหน้าผานั้น เป็นความรู้สึกที่ยากเกินบรรยาย ลมที่พัดขึ้นมาจากหน้าผาหลายร้อยเมตร บ้างก็หนาว บ้างก็เย็นกำลังพอดี ทัศนียภาพที่อยู่ตรงหน้านิ่งสงบบ้าง ท้องฟ้าจากตะวันลับเป็นสีแดงบ้าง หรือทิวเขากลายเป็นสีขาวหลังจากหิมะตก นานครั้งอาจเห็นนกอินทรีย์บินอยู่ลิบ ๆ มองลงหน้าผาไปก็เห็นเป็นชั้นหินอายุนับล้านปี ที่ผู้รู้เล่าว่าแถวนี้แต่ก่อนเป็นทะเล จึงทำให้เกิดชั้นหินที่สวยงามและสลับซับซ้อนอย่างนี้ได้ แต่แกรนด์แคนย่อนไม่ได้มีดีเพียงแค่วิวหน้าผาเพียงเท่านั้น

สัตว์ป่าที่แกรนด์แคนย่อน หลายชนิดก็ถือว่าใกล้ชิดกันกับมนุษย์ได้ เช่น หากห้องพักอยู่ที่ชั้นล่างของรีสอร์ท บางครั้งเปิดประตูห้องออกไป ก็สามารถจ๊ะเอ๋กับกวางเอลฟ์ยืนเล็มใบไม้ที่หน้าห้องได้พอดี หรือแม้แต่กวางมูสตัวใหญ่ ก็มักจะมาเดินให้ผู้คนพบเห็นเป็นประจำ หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ที่บางปีแจ้งเตือนให้ประชาชนในแถบนั้นระวังหมีออกหากิน รวมถึงปศุสัตว์การเลี้ยงล่อ เพื่อไว้ใช้สำหรับกิจกรรมการท่องเที่ยวเดินทางไกล ตามแม่น้ำโคโลราโด ได้บรรยากาศคลาสสิคของคาวบอย และสัมผัสวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองอเมริกัน

ก่อนขึ้นไปบนแกรนด์แคนย่อนนั้น นักท่องเที่ยวนิยมแวะพักที่เมืองเล็ก ๆ ชื่อแฟลกสตาฟ (Flagstaff) ก่อน 1 คืน เพื่อเตรียมทั้งอุปกรณ์เดินไกล อุปกรณ์กันหนาว ซึ่งมีทางเลือกในการเดินทางขึ้นแกรนด์แคนย่อนทั้งรถไฟแบบโบราณ แทกซี่แบบเหมารับจ้าง (แทกซี่แพงที่สุด) รถตู้ (รถตู้ประหยัดที่สุด) และขับรถขึ้นไปเอง หากเลือกการเดินทางไปตามถนนลาดยาง ก็จะขับไปตามทางตรง สองข้างทางเวิ้งว้างคล้ายทะเลทราย เพียงแต่มีพืชขึ้นอยู่ประปราย เป็นระยะทาง 73.5 ไมล์ (118 กิโลเมตร) ก็จะถึงปากประตูทางเข้าอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีทั้งร้านอาหาร โรงหนัง โรงแรมตั้งอยู่ด้านหน้า และมีรถประจำทางของอุทยานมารับนักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้บริการเข้าไป

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การแนะนำโดยตัวหนังสือเพียงเท่านั้น แต่เมื่อไปสัมผัสจริงแล้ว ต้องเรียกได้ว่าคูณเข้าไปกี่เท่าก็ไม่อาจทราบได้ ทุกท่านโปรดไปสัมผัสด้วยตัวท่านเอง แล้วจะรู้ถึงความทรงจำที่ไม่รู้ลืมว่าเป็นอย่างไร

 

เที่ยวประเทศเพื่อนบ้าน ครบทุกรสที่มาเลเซีย

                 รสนิยมนักท่องเที่ยวชาวไทย หากมีงบประมาณเพียงพอ ส่วนมากก็เลือกจะไปเที่ยวต่างประเทศ ที่นิยมก็เป็นพวกญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป หรือไปไกลจริง ๆ ก็อเมริกา เป็นต้น แต่อันที่จริงแล้ว ความสนุกของการเที่ยวต่างประเทศนั้น อยู่ที่การได้สัมผัสสิ่งแปลกใหม่ ที่แต่ละบุคคลไม่เคยได้พบด้วยตนเองมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นภาษาพูด การแต่งกาย อาหาร สิ่งก่อสร้าง สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ อากาศ หรือแม้แต่การใช้สกุลเงินต่างประเทศเองก็ตาม เหล่านี้ล้วนสร้างความประทับใจ เป็นประสบการณ์ที่สามารถเก็บไว้ และนำมาบอกเล่าต่อได้อีกนาน ซึ่งการจะได้ความทรงจำที่ดีจากสถานที่แปลกใหม่ นั้นไม่ต้องไปไกลถึงขนาดข้ามน้ำข้ามทะเลก็ได้ ประเทศเพื่อนบ้านเราก็มี แต่ที่ไหนที่จะมีการจัดการท่องเที่ยวที่ครบเครื่อง ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก สิ่งดึงดูด วัฒนธรรม แถมยังงบประมาณไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับหลาย ๆ คน หนึ่งในตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบนั้น คือ มาเลเซีย ประเทศที่อยู่ติดกับภาคใต้ของไทยนี่เอง

มาเลเซียมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวที่ดีมาก เริ่มตั้งแต่ถนนที่ราบเรียบ แทบไม่เห็นการปะซ่อมถนน อาหารก็อร่อย อาจเพราะอยู่ติดกับประเทศไทย จึงมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันยาวนาน ทำให้อาหารหลายเมนูนั้นถูกปากคนไทย แล้วยังมีวัตถุดิบหลากหลายอีกด้วย รวมถึงการมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม เช่น คาเมรอนไฮแลนด์ ซึ่งเน้นการปลูกพืชในที่สูงและมีอากาศหนาวเย็น พร้อมทัศนียภาพและวิถีชีวิตเกษตรกรรมที่สูง หรือที่สูงอีกที่ ก็คือเก็นติงไฮแลนด์ แต่แตกต่างจากคาเมรอนมาก เพราะเก็นติงเป็นกลุ่มโรงแรมคาสิโนและสวนสนุก ตั้งอยู่บนภูเขาสูง วิธีการขึ้นสามารถขึ้นได้ทั้งรถยนต์ และกระเช้าลอยฟ้า เมื่อขึ้นไปจะพบกับความบันเทิงในรูปแบบเมืองคาสิโนที่เปิดบริการทั้งวันทั้งคืน ภัตตาคารคุณภาพ ห้างสรรพสินค้า โรงหนังสามมิติ สวนกล้วยไม้ รวมถึงสวนสนุกชั้นนำของประเทศมาเลเซีย คือจริง ๆ แล้ว นักท่องเที่ยวไปแต่เก็นติงแล้วกลับไทยเลยก็ได้ ถือว่าคุ้มแล้ว ทางด้านการท่องเที่ยวในเขตเมืองของมาเลเซียก็ทำได้ดีเช่นเดียวกัน ทั้งระบบขนส่ง ที่พัก ในเมืองปีนัง และสิ่งบันเทิงหลากหลายชนิด ในเมืองกัวลาลัมเปอร์ หรือจะพักผ่อนในเมืองท่าขนาดเล็กที่มีบรรยากาศตะวันตกอย่างมะละกา เรียกได้ว่าทรัพยากรการท่องเที่ยวมาเลเซียมีครบ และนำเสนอได้ดีด้วย เป็นตัวเลือกที่ดีมากสำหรับการหาประสบการณ์ใหม่

มาเลเซียเป็นประเทศที่รวมวัฒนธรรมมลายู จีน และอินเดีย เข้าไว้ด้วยกัน จึงมีสิ่งก่อสร้างทรงตะวันตกที่พบเห็นได้ทั่วไป เพราะเคยเป็นเมืองขึ้นของทั้งโปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ เหล่านี้เองจึงทำให้ประเทศมาเลเซียมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย นักท่องเที่ยวหลายคนก็ได้ประสบการณ์แปลกใหม่จากประเทศนี้ และการมีการรักษาความปลอดภัยที่ดี จึงต้องแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยวต่างประเทศ ว่าไม่ควรพลาดการท่องเที่ยวประเทศมาเลเซียเป็นอย่างยิ่ง