ลาส เวกัส เมืองสำหรับนักพนัน นักสังสรรค์ และครอบครัวท่องเที่ยว

ทุกคนทั่วโลกรู้ว่าลาส เวกัส เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญ ที่เน้นความบันเทิงและบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยลาส เวกัส เป็นชื่อในภาษาสเปน ถ้าแปลเป็นไทยจะชื่อว่า “ทุ่งหญ้า” (Meadows) ซึ่งอาณาบริเวณโดยรอบของเมืองนี้ เป็นทะเลทรายสลับภูเขาหินทรายทั้งหมด ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า ที่ชื่อลาส เวกัส ก็เพราะเป็นทุ่งที่ราบเรียบว่างเปล่า แต่มีพืชทะเลทรายปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ เมื่อปีคริสตศักราช 1829 ราฟาเอล ริเวร่า (Rafael Rivera) นับเป็นบุคคลแรกที่ไม่ใช่ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน ที่ได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้เป็นคนแรก ต่อมาในปี 1905 ก็ลาส เวกัส จึงตั้งเป็นเมืองขึ้นมา และตั้งแต่ปี 1931 รัฐเนวาด้าได้ส่งเสริมการพนัน และตั้งแต่นั้น ลาส เวกัส ก็กลายเป็นเมืองแห่งการพนันมาจนถึงปัจจุบัน

นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน เพราะลาส เวกัสเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับ มีคนเดินพลุกพล่านตลอดเวลา จะบางตาเอาก็ช่วงตี 5 เพียงสักครู่เท่านั้นเอง ด้านระบบขนส่งก็ทำได้ดีมาก ทั้งรถประจำทาง รถแท็กซี่ รถรับส่งของโรงแรม หรือรถเช่า แม้แต่การแข่งขันชกมวยระดับโลกก็มักมาจัดที่โรงแรมเอ็มจีเอ็มแกรนด์ (MGM Grand) เป็นประจำ ร้านค้า ร้านอาหาร เปิด 24 ชม. ขณะเดินเที่ยวริมฟุตบาทก็สามารถถือขวดเครื่องดื่มในภาชนะที่ได้รับอนุญาตเดินไปด้วยได้ และทุก ๆ โรงแรมจะมีบริการคาสิโนที่ล็อบบี้ นั่นคือนักท่องเที่ยวพักผ่อนในห้องพัก ทานอาหาร และกดลิฟท์ลงไปข้างล่างก็สามารถเข้าสู่โลกของความบันเทิงได้ทันที โดยที่ล็อบบี้ของทุกโรงแรมจะมีคาสิโน เช่น โป๊คเกอร์ แบล็คแจ็ค รูเล็ต หรือตู้สล็อตแมชชีน ระหว่างเล่นก็มีพนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มให้นักเล่นอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ต้องให้ทิปในราคาที่สมเหตุสมผลแก่พนักงาน (5-10 ดอลล่าห ถ้าให้น้อยพนักงานอาจไม่มาเสิร์ฟนักเล่นอีก) หนึ่งคืนมีนักเล่นประสบความสำเร็จชนะพนันหลักพันดอลล่าหก็มีหลายคน หรือจะนั่งเล่นสล็อตแมชชีนจิบเครื่องดื่มไปพลาง ๆ ก็ย่อมได้

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการพนัน เมืองแห่งโลกีย์ เมืองสำหรับผู้ที่ลุ่มหลงความบันเทิงอันไร้ขีดจำกัด แต่ที่จริงแล้ว ลาส เวกัส เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวทุกประเภท ทุกเพศ ทุกวัย เพราะมีความปลอดภัยสูงมาก นอกจากความบันเทิงจากเกมพนันแล้ว การเดินเล่นรอบดาวน์ทาวน์ก็เป็นสิ่งดึงดูดได้ เช่น ไปชมการแสดงน้ำพุระดับโลกที่หน้าโรงแรม Bellagio (ชมฟรี) หรือการเข้าไปสัมผัสบรรยากาศเวนิสที่โรงแรม Venetian อีกทั้งยังเป็นการเยี่ยมชมพิพิธพันธ์มีชื่อเสียงหลายแห่ง ทั้งพิพิธภัณฑ์เดอะม็อบ (The Mob Museum) ซึ่งเก็บรวมรวมตำนานแก๊งมาเฟีย เช่น อัล คาโปน, จอห์น ก็อตติ, บักซี ซีเกล ฯลฯ หรือชมพิพิธภัณฑ์รถยนต์นอสทัลเกีย สตรีท รอดส์ (Nostalgia Street Rods) และที่พลาดไม่ได้เลยคือการขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์ (High Roller) เพื่อมองเห็นลาส เวกัสได้ทั้งเมือง หรือเห็นทัศนียภาพทะเลทรายได้เลยทีเดียว

นอกจากความบันเทิงแบบผู้ใหญ่ ลาส เวกัส ก็มีทั้งคอนเสิร์ตจากวงดนตรีระดับโลกจัดบ่อยมาก ทอล์คโชว์โดยนักพูดที่มีชื่อเสียงของอเมริกา สวนสัตว์ โรงหนัง ร้านอาหารราคาย่อมเยาที่มีวัตถุดิบแปลก ห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง รวมถึงเอาท์เล็ทที่ถือว่าเป็นแหล่งรวมสินค้าแบรนด์ดังขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ลองไปลาส เวกัส สักครั้ง จะประทับใจไม่มีวันลืม

 

แกรนด์แคนย่อน เมืองเล็กบนเขา ในฝันของนักท่องเที่ยว

                 นักท่องเที่ยวหลายคนใฝ่ฝันการเดินทางไปสถานที่ที่ห่างไกลจากบ้านของตนเอง ยิ่งไกล ยิ่งเจอสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แต่น่าแปลกที่รู้สึกสนุกไปกับสิ่งเหล่านั้นที่ได้พบเจอ ทั้งระหว่างการเดินทางและในจุดหมายปลายทาง ทั้งคนแปลกหน้าที่กลายมาเป็นเพื่อนในภายหลัง การพูดภาษาในชีวิตประจำวันที่ปกติพูดแต่ภาษาไทย แต่ช่วงเวลานั้นตื่นมาจนเข้านอนต้องใช้แต่ภาษาอังกฤษ สปาเก็ตตี้หรือเบอร์เกอร์ที่กลายเป็นอาหารประจำวันและต้องกินทุกวัน หิมะที่เพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในชีวิต พืชพรรณไม้แปลกใหม่ ช่องเดินรถยังต้องสลับด้านจากซ้ายไปอยู่ทางขวา กระรอกที่ตอนอยู่เมืองไทยจะเห็นแค่บนกิ่งไม้รึไม่ก็เสาไฟฟ้า กลายมาเป็นได้เห็นพวกมันเพ่นพ่านคุ้ยเขี่ยขยะอยู่ทั่วไป หรือแม้แต่การยิ้มให้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนขณะเดินสวนกัน ถ้ายิ้มให้คนแปลกหน้าในไทยคงถูกมองว่าแปลก หรือคิดกันไปว่าต้องการบางอย่างถึงได้ยิ้มอย่างนั้นออกมาเป็นแน่ แต่สถานที่นั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นเมืองแห่งการแสดงออก และอุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนย่อน เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ของทั้งคนอเมริกันและนักท่องเที่ยวทั่วโลก

การได้นั่งดูทิวเขาแกรนด์แคนย่อนพร้อมนั่งจิบเบียร์ไปพลาง ๆ จวบจนพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมกับมีเสียงขลุ่ยของชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American) เผ่านาบาโฮ (Navajo) คลอออกมาจากลำโพงของพิพิธภัณฑ์ใกล้กับริมหน้าผานั้น เป็นความรู้สึกที่ยากเกินบรรยาย ลมที่พัดขึ้นมาจากหน้าผาหลายร้อยเมตร บ้างก็หนาว บ้างก็เย็นกำลังพอดี ทัศนียภาพที่อยู่ตรงหน้านิ่งสงบบ้าง ท้องฟ้าจากตะวันลับเป็นสีแดงบ้าง หรือทิวเขากลายเป็นสีขาวหลังจากหิมะตก นานครั้งอาจเห็นนกอินทรีย์บินอยู่ลิบ ๆ มองลงหน้าผาไปก็เห็นเป็นชั้นหินอายุนับล้านปี ที่ผู้รู้เล่าว่าแถวนี้แต่ก่อนเป็นทะเล จึงทำให้เกิดชั้นหินที่สวยงามและสลับซับซ้อนอย่างนี้ได้ แต่แกรนด์แคนย่อนไม่ได้มีดีเพียงแค่วิวหน้าผาเพียงเท่านั้น

สัตว์ป่าที่แกรนด์แคนย่อน หลายชนิดก็ถือว่าใกล้ชิดกันกับมนุษย์ได้ เช่น หากห้องพักอยู่ที่ชั้นล่างของรีสอร์ท บางครั้งเปิดประตูห้องออกไป ก็สามารถจ๊ะเอ๋กับกวางเอลฟ์ยืนเล็มใบไม้ที่หน้าห้องได้พอดี หรือแม้แต่กวางมูสตัวใหญ่ ก็มักจะมาเดินให้ผู้คนพบเห็นเป็นประจำ หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ที่บางปีแจ้งเตือนให้ประชาชนในแถบนั้นระวังหมีออกหากิน รวมถึงปศุสัตว์การเลี้ยงล่อ เพื่อไว้ใช้สำหรับกิจกรรมการท่องเที่ยวเดินทางไกล ตามแม่น้ำโคโลราโด ได้บรรยากาศคลาสสิคของคาวบอย และสัมผัสวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองอเมริกัน

ก่อนขึ้นไปบนแกรนด์แคนย่อนนั้น นักท่องเที่ยวนิยมแวะพักที่เมืองเล็ก ๆ ชื่อแฟลกสตาฟ (Flagstaff) ก่อน 1 คืน เพื่อเตรียมทั้งอุปกรณ์เดินไกล อุปกรณ์กันหนาว ซึ่งมีทางเลือกในการเดินทางขึ้นแกรนด์แคนย่อนทั้งรถไฟแบบโบราณ แทกซี่แบบเหมารับจ้าง (แทกซี่แพงที่สุด) รถตู้ (รถตู้ประหยัดที่สุด) และขับรถขึ้นไปเอง หากเลือกการเดินทางไปตามถนนลาดยาง ก็จะขับไปตามทางตรง สองข้างทางเวิ้งว้างคล้ายทะเลทราย เพียงแต่มีพืชขึ้นอยู่ประปราย เป็นระยะทาง 73.5 ไมล์ (118 กิโลเมตร) ก็จะถึงปากประตูทางเข้าอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีทั้งร้านอาหาร โรงหนัง โรงแรมตั้งอยู่ด้านหน้า และมีรถประจำทางของอุทยานมารับนักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้บริการเข้าไป

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การแนะนำโดยตัวหนังสือเพียงเท่านั้น แต่เมื่อไปสัมผัสจริงแล้ว ต้องเรียกได้ว่าคูณเข้าไปกี่เท่าก็ไม่อาจทราบได้ ทุกท่านโปรดไปสัมผัสด้วยตัวท่านเอง แล้วจะรู้ถึงความทรงจำที่ไม่รู้ลืมว่าเป็นอย่างไร