เมื่อเครื่องโบอิ้งจากสุวรรณภูมิ ลงจอดที่สนามบินอตาเติร์ก หัวใจนักท่องเที่ยวที่ยังไม่เคยเยือนตุรกีก็พองโตกันทุกคน สีหน้าดูจะตื่นเต้นและเมื่อยล้าจากการต้องนั่งอยู่กับที่ประมาณ 8 ชั่วโมง เดินทางผ่านทั้งพม่า อ่าวเบงกอล ปากีสถาน บินเฉียดอัฟกานิสถานหน่อย ๆ และบินผ่านอิหร่าน รวม 4 ประเทศ ระยะทาง 6,820 กิโลเมตร ความรู้สึกเมื่อเข้ามาในสนามบินและนั่งรถผ่านตัวเมือง เหมือนกับที่เคยเห็นในหนัง เพียงแต่ภาพตรงหน้าเป็นของจริง ยิ่งกว่า 3D ภาษาที่สื่อสารก็ใช้ภาษาอังกฤษ เพียงแต่บางคนพูดชัดบ้าง พูดอังกฤษสำเนียงตุรกีบ้าง และพูดได้แต่ภาษาตุรกีอย่างเดียวก็เยอะ เพียงแต่ใช้ภาษามือสื่อสารก็พอที่จะเข้าใจกันได้ และถึงแม้ค่าเงินในยุโรปจะเป็นยูโร แต่ผู้ให้บริการในอิสตันบูลกลับยินดีรับเงินลีราตุรกีมากกว่า (เรียกสั้น ๆ ว่าลีรา) ในอิสตันบูล อากาศที่เมืองหลวงแห่งนี้มักจะมีลมแรง หน้าร้อนจะอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน อุณหภูมิส่วนมากอยู่ที่ 19-28 องศาเซลเซียส ช่วงร้อนมากที่สุดอยู่ที่จะเกิน 30 องศาเซลเซียส จนถึงร้อนพอ ๆ กับประเทศไทย เพียงแต่อากาศแห้งจึงไม่รู้สึกเหนียวตัว ฤดูใบไม้ร่วงเริ่มปลายกันยายนถึงต้นธันวาคม อุณหภูมิอยู่ที่ 9-19 องศาเซลเซียส โดยในเดินพฤศจิกายน อุณหภูมิจะเริ่มลดลงเป็นสัญญาณของฤดูหนาว ซึ่งจะอยู่ตั้งแต่ธันวาคมถึงมีนาคมที่ 6-9 องศาเซลเซียส และสุดท้ายคือฤดูใบไม้ผลิในช่วงปลายมีนาคมถึงพฤษภาคม มีอุณหภูมิ 12-20 องศาเซลเซียส
สภาพภูมิประเทศของอิสตันบูลจะเป็นเนินสลับที่ราบ จึงเห็นตึกต่าง ๆ มากมายตั้งอยู่บนเนินหรือทางชัน รถที่สัญจรก็จอดบนเนินหน้าประตูทางเข้าอาคารกันเต็มไปหมด บรรยากาศร้านรวงก็ดูเก่าแก่ ห้องครัวของร้านอาหารอยู่ที่ห้องใต้ดินก็มี และที่พลาดไม่ได้สำหรับนักชิม คือ มีทบอล (köfte) ในย่านสุลต่านอาเหม็ด และโยเกิร์ต (Ayran) ที่คนท้องถิ่นนิยมกันมาก ทางด้านเครื่องดื่มที่เห็นคนตุรกีดื่มกันตลอดทั้งวัน คือ ชา (Çay) ที่ถ้าหากเดินไปในละแวกร้านค้าชุมชนจะพบโต๊ะหน้าร้านและมีนักดื่มชานั่งอยู่ทั่วไป และของฝากที่ขึ้นชื่อเหลือเกินของตุรกี คือ กาแฟ (Türk Kahvesi) หรือถ้าจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Turkish Coffee นั่นเอง
สถานที่ท่องเที่ยวในอิสตันบูลที่พลาดไม่ได้มีหลายแห่ง เช่น อายาโซเฟีย (Ayasofya หรือ Hagia Sophia) ซึ่งมียอดโดมอันตระการตาอายุมากกว่า 1,500 ปี สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งโบสถ์และมัสยิด โดยเป็นโบสถ์นิกายออร์ทอดอกซ์ใน 1,000 ปีแรก และ 500 ปีหลังก็ถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดโดยมุฮัมหมัด อีลฟาติห์ ในปี ค.ศ. 1453 และกลายเป็นพิพิธภัณฑ์อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ปัจจุบันก็ได้เป็นมัสยิดโดยสมบูรณ์ สถานที่ที่ 2 ที่ต้องไปคือ สุเหร่าสีฟ้า (Blue Mosque) ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1609 ถึง 1616 ซึ่งสีฟ้ามาจากสีกระเบื้องบนกำแพงด้านใน ที่มีลวดลายสีฟ้าของดอกไม้นานาชนิด แต่ก็มีลักษณะคล้ายอายาโซเฟีย เพราะผู้สร้างต้องการสร้างสุเหร่าที่อลังการมากยิ่งกว่าอายาโซเฟียที่สร้างเพื่อเป็นโบสถ์คริสต์ ก่อนที่จะเข้าไปในสุเหร่าสีฟ้า นักท่องเที่ยวต้องถอดรองเท้าออกก่อน
การเดินทางในอิสตันบูลนอกจากจะมีรถบนทางถนนแล้ว ยังมีรถรางวิ่งในเมืองอีกด้วย (Tram) ในการเดินเล่นชมเมือง เริ่มตั้งแต่จัตุรัสตักซิม (Taksim Square) ซึ่งมีตลาดกลางคืนซึ่งเป็นย่านร้านค้าหลักของอิสตันบูล ที่มีร้านอาหาร บาร์ และเป็นแหล่งชอปปิ้งแบรนด์เนม คนไทยไปเที่ยวตุรกีอาจแปลกใจสักหน่อย เพราะช่วง 3 ทุ่มจะเพิ่งเริ่มค่ำเท่านั้น มนต์เสน่ห์ของสถานที่แห่งนี้มีทั้งผู้คน วัฒนธรรม ทัศนียภาพ และอาหาร ไปเพียง 5 วันอาจซึมซับอิสตันบูลได้ไม่หมด แต่ลองไปสักครั้งจะรู้สึกเหมือนไปดาวอีกดวงหนึ่ง