ท่องเที่ยวเชิงธรรมะกันที่ “ไร่เชิญตะวัน”

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์รูปแบบหนึ่งที่เน้นศิลปะ วัฒนธรรม วิถีชีวิต และศาสนา เป็นส่วนใหญ่ซึ่งรูปแบบการท่องเที่ยวจะไม่หวือหวา หรือครื้นเครงจนเกินไปกลุ่มนักท่องเที่ยวจึงมีลักษณะเฉพาะ เช่น ครอบครัว ผู้สูงอายุ เด็ก และเยาวชน เป็นต้น มีที่สถานแห่งหนึ่งที่เราจะพาไปเยี่ยมเยือน ได้แก่ “ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน” หรือ “ไร่เชิญตะวัน”

“ไร่เชิญตะวัน” เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมที่พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิระเมธี) ได้สร้างขึ้นอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงราย เขตตำบลห้วยสัก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย บนพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ ภายในไร่เชิญตะวันมีความร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ ฉากหลังเป็นภูเขามีอากาศบริสุทธิ์เย็นสบายตลอดทั้งปี ตกแต่งด้วยตุงสีสันหลากหลายให้มีบรรยากาศแบบล้าน มีธรรมะศิลปะที่แฝงไปด้วยหลักธรรมในการดำเนินชีวิตเพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมและนักท่องเที่ยวได้อ่าน และนำแนวคิดไปปรับใช้ ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและห้อมล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงาม ไร่เชิญตะวันจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการพักผ่อนทั้งกายและใจ เป็นการเติมพลังงานให้กลับไปต่อสู้กับความเร่งรีบในเมือง

พื้นที่ไร่เชิญตะวันกว้างขวางจุดที่แนะนำให้ไปเช็คอิน ได้แก่ อุโมงค์กล้วยไม้มงคล 38 ประการ รูปปั้นปริศนาธรรมสามเณรปิดหูปิดตาปิดปากปิดใจ หุ่นซุปเปอร์ฮีโร่ที่ต้องการสื่อถึงสุดท้ายไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง หลวงพ่อน็อตที่บอกถึงเศษเหล็กยังมีคุณค่าตัวเราเป็นมนุษย์ก็ย่อมทำให้มีค่า ซุ้มโคมล้านนาเป็นการให้ดวงตาหรือให้ปัญญาคน จะเห็นว่าไร่เชิญตะวันเป็นสถานที่ตอบวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไปหากใครต้องการความสงบด้วยการปฏิบัติธรรมก็มีหลักสูตรให้เลือก 3 วัน 5 วัน และ 7 วัน หรือหากใครประสงค์เพียงการพักผ่อนเวลาเดินช้าลงก็เดินทางมาเที่ยวนั่งนอนสัมผัสธรรมชาติที่สวยงามและหลักธรรมะง่าย ๆ ที่อยู่ในทุกจุดของไร่เชิญตะวันแค่นี้ใจที่วุ่นวายของเราก็ได้หยุดพักลงบ้าง บางคนอาจจะมองว่าสถานที่ปฏิบัติธรรมอาจจะกันดานไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสักเท่าไร แต่กลับกันไร่เชิญตะวันมีทุกอย่างพรั่งพร้อมสำหรับขาจรที่แวะไปเยี่ยมเยียน ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหารการกิน ร้านกาแฟ ร้านขายของฝากของที่ระลึก

เราเดินทางไปไร่เชิญตะวันได้ง่าย ๆ โดยตั้งต้นที่ห้าแยกอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช มุ่งหน้าไปตามถนนพหลโยธิน (ไปอำเภอพาน) เมื่อถึงสี่แยกแม่กรณ์ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนหมายเลข 1020 เส้นทางเชียงราย-เทิง อีกประมาณ 15 กม. จนถึงสี่แยกห้วยสักหลังจากนั้นตรงไปอีก 500 เมตรแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนเล็กตามป้ายบอกทางอีกประมาณ 7 กม. ทางเข้าไร่เชิญตะวันจะอยู่ด้านขวามือสังเกตปากทางจะมีรูปปั้นเณรน้อยชี้ทางให้อยู่ ดังนั้น หากใครมองหาสถานที่ท่องเที่ยวที่สงบไม่วุ่นวายทั้งกายและใจลองแวะไปที่ “ไร่เชิญตะวัน” กันได้ทุกวัน แต่ควรเลือกหน้าหนาวเพราะจะเป็นช่วงที่ดอกไม้สวยงามที่สุด และอากาศกำลังเย็นดีที่เลยทีเดียว

กินอิ่มและฉ่ำบุญ กันที่ “กว๊านพะเยา”

“กว๊านพะเยา” ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย ตั้งอยู่กลางอำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา มีพื้นที่ราว 12,831 ไร่ เป็นบึงน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาที่ทอดยาวขวางทางทิศตะวันตก ยามเย็นริมฝั่งกว๊านเราจะเห็นความสวยงามของพระอาทิตย์ตกดิน สะท้อนสีทองบนผืนน้ำอันเงียบสงบช่างเป็นภาพที่ตรึงตาตรึงใจยิ่งนัก กว๊านพะเยารองรับน้ำจากลำห้วยทั้งหมด 12 สาย ที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาสันปันน้ำ หรือ ดอยหลวง มีพันธุ์ปลาน้ำจืดกว่า 45 ชนิด เป็นที่เพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดที่สำคัญ และกลายเป็นแหล่งผลิตภัณฑ์ปลาส้มแสนอร่อยที่ขึ้นชื่อเป็นสินค้า OTOP ของจังหวัดพะเยาที่ใครไปใครมาต้องถือกลับไปเป็นของฝากแก่ญาติสนิทมิตรสหาย

บริเวณริมกว๊านพะเยาได้จัดให้มีพื้นที่สาธารณะสำหรับออกกำลังกาย และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ มีร้านอาหารพื้นเมือง และอาหารจากกว๊านจำพวก กุ้ง หอย ปู ปลา ให้ได้เลือกซื้อได้ตามความชื่นชอบ ในช่วงวันหยุดอาจจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาพักผ่อนกินลมชมวิวทิวทัศน์ ดังนั้นหากจะไปนั่งชิล ๆ อาจจะต้องบริหารจัดการเวลาให้ดีหน่อย

สำหรับใครที่ตื่นเช้าก็แนะนำให้มาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ดูนกน้ำออกหากินได้ที่ริมกว๊านพะเยา พอ 7 โมงเช้าก็รอใส่บาตรข้าวเหนียวกันก่อนแถว ๆ ท่าเรือริมกว๊าน หากไม่ได้เตรียมกับข้าวมาด้วยก็สามารถหาซื้อได้บริเวณนั้นได้เลย  หลังจากใส่บาตรรับศีลรับพรเสริมความเป็นสิริมงคลแล้ว แดดยังอ่อน ๆ ไม่ร้อนสักเท่าไหร่ก็ถึงเวลาไปนมัสการหลวงพ่อศิลากลางกว๊านพะเยาด้วยเรือพายสนนราคาค่าบริการเพียงคนละ 20 บาทเท่านั้น ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปกลับเพียง 20 นาที ตามประวัติหลวงพ่อศิลาเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย อายุกว่า 500 ปี ค้นพบเมื่อปี 2526 บริเวณวัดติโลกอารามที่จมอยู่ใต้กว๊านพะเยา ชาวบ้านได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดศรีอุโมงค์คำ กระทั่งปี 2550 ได้อัญเชิญหลวงพ่อศิลากลับไปที่วัดติโลกอารามกลางกว๊านพะเยาตามเดิม โดยในคืนเพ็ญวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา จะมีพิธีเวียนเทียนกลางน้ำโดยล่องเรือไปเวียนเทียนบูชาองค์หลวงพ่อศิลากลางกว๊านพะเยา เราจะเห็นผู้คนอยู่บนเรือถือดอกไม้ธูปเทียนและดวงประทีปส่องแสงระยิบระยับอร่ามงดงามสะท้อนผืนน้ำกลางกว๊านพะเยา จึงเป็นภาพที่ประทับใจยิ่ง

ผ่านมาภาคเหนือเมื่อใดก็อย่างลืมเที่ยวเมืองพะเยากันก่อน แวะพักผ่อนหย่อนใจกับวิถีชีวิตเรียบง่ายริมฝั่งกว๊านพะเยา สัมผัสกับประเพณีวัฒนธรรมล้านนาที่ยังคงไว้อย่างสมบูรณ์ ร่วมทำบุญริมฝั่งกว๊านหรือจะลงเรือไปกราบพระกลางกว๊านพะเยา เราจะได้พบประสบการณ์ที่แปลกน่าจดจำและไม่เหมือนที่ใดในโลกแน่นอน

ไปธาราบำบัดกันที่ “บ่อน้ำพุร้อนห้วยทรายขาว” อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

เมืองไทยมีแหล่งน้ำพุร้อนหลายแห่งที่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจโดยการแช่ร่างกายในน้ำอุ่น ๆ หรือเรียกว่า “ธาราบำบัด หรือ “Aquatherapy” ซึ่งเป็นการใช้คุณสมบัติที่ยืดหยุ่นของน้ำช่วยลดอาการปวด และให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายให้เลือดได้ไหลเวียนเป็นอย่างดี อีกทั้งเชื่อว่าน้ำแร่ยังช่วยรักษาโรค และทำให้ผิวพรรณผ่องใสแลดูอ่อนวัยยิ่งขึ้นด้วย

ถ้าเราเดินทางไปตามถนนพหลโยธินเส้นทางเชียงราย-พะเยา มีบ่อน้ำพุร้อนเก่าแก่แห่งหนึ่งที่เราควรแวะเยี่ยมเยียนนั่นก็คือ “บ่อน้ำพุร้อนห้วยทรายขาว” แหล่งน้ำร้อนธรรมชาติอุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส ตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ไปทางทิศเหนือประมาณ 10 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 16 ไร่ ของหมู่ 5 ต.ทรายขาว ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของแขวงการทางเชียงราย และองค์การบริหารส่วนตำบลทรายขาวที่ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ให้เป็นจุดเช็คอินแห่งใหม่ของจังหวัดเชียงราย จากตำแหน่งที่ตั้งบ่อน้ำพุร้อนอยู่ติดถนนใหญ่การเดินทางที่สะดวกสบายทำให้นักท่องเที่ยวนิยมใช้เป็นจุดแวะพักระหว่างเดินทางเพื่อไปต่อยังจุดหมายปลายทาง

บ่อน้ำร้อนแห่งนี้สิ่งอำนวยความสะดวกที่เตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวครบครันโดยแยกอาคารแช่เท้าและอาคารอาบน้ำออกจากกัน มีการรักษาความสะอาดตลอดเวลา มีสถานที่จอดรถได้ประมาณ 30 คันเพียงพอรองรับกับนักท่องเที่ยวที่ขาจรหมุนเวียนเข้าออก มีร้านอาหารจำหน่วย ร้านสินค้าของฝาก OTOP ก็มีให้เลือกอย่างหลากหลาย และพื้นที่โดยรอบของ “บ่อน้ำพุร้อนห้วยทรายขาว” ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ สวนหย่อมและดอกไม้ให้ดูเพลิดเพลินจำเริญตา

วันหยุดสุดสัปดาห์ยาว ๆ ถ้าไปกันเป็นครอบครัวตระเตรียมเสื่อไปปู และสั่งซื้ออาหารนั่งกินข้าวสานสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เมื่ออิ่มหนำสำราญกันเต็มที่แล้วก็ถึงเวลาไปนอนแช่น้ำแร่กันให้สบายตัวและสบายใจ ที่สำคัญฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ อีกด้วย แต่ถ้าอยากจะบริจาคเพื่อเป็นค่าจัดการพื้นที่ให้ดีขึ้นก็สามารถติดต่อที่องค์การบริหารส่วนตำบลทรายขาว ซึ่งก็อยู่ไม่ห่างกันมากนักหรือติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่บริเวณน้ำพุร้อนได้เลย ส่วนใครก็ตามที่ได้แวะพักแช่น้ำแร่จนผ่อนคลายหายเมื่อยล้าแล้ว หากอยากไปเที่ยวต่อสถานที่อื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็นวัดที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะล้านนา เช่น วัดพระธาตุจอมแว่ วัดทรายขาว วัดอุดมวารี หรือวัดพระธาตุดอยงู เป็นต้น หรือความสวยงามของธรรมชาติที่มีความสมบูรณ์หลากหลายทางชีวภาพ เช่น น้ำตกปูแกง น้ำตกห้วยทรายขาว ถ้ำผาโขง ถ้ำผายาว หรืออุทยานแห่งชาติดอยหลวง เป็นต้น

หากมีโอกาสได้ขึ้นเหนือมาเที่ยวเชียงรายเมื่อไรก็อย่าลืมแวะอาบน้ำแร่แช่น้ำอุ่น “ธาราบำบัด” จากน้ำแร่บริสุทธิ์ใต้พิภพที่ “บ่อน้ำพุร้อนห้วยทรายขาว”  อำเภอพานกันดูสักครั้ง เพื่อให้น้ำแร่ธรรมชาติซึมผ่านผิวกาย และช่วยนำพาความอ่อนล้าอ่อนเพลียละลายหายไป รวมถึงปลดเปลื้องโรคภัยไข้เจ็บให้หมดไปอย่างที่คนโบราณได้กล่าวไว้อีกด้วย

“เล่นน้ำตก ชมภูสูง ดูหมอกสวย” กันที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่

เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปีแล้วผู้ที่นิยมเดินทางท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ แม้ฝนจะโปรยปรายลงมาบ้าง อากาศจะเย็นลงสักหน่อยก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ไปเที่ยวแต่อย่างใด เราลองขึ้นเหนือไปรับไอเย็น “เล่นน้ำตก ชมภูสูง ดูหมอกสวย” กันที่ “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” กันดีกว่าปักหมุดปลายทาง “อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์”  แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่จะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ

แหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ควรไปเยี่ยมเยือน ได้แก่

 น้ำตกแม่ยะ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยที่สุดติดอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยเลยทีเดียว น้ำตกแม่ยะเกิดจากลำห้วยแม่ยะ มีประมาณ 30 ชั้น สูงกว่า 260 เมตร ในฤดูฝนปริมาณน้ำมากสายน้ำจะไหลลงหน้าผาเป็นม่านน้ำกว้างราว 100 เมตร เกิดละอองน้ำสีขาวกระจายเหมือนหมอกสวยงามเกินบรรยาย ส่วนในฤดูแล้งน้ำอาจจะน้อยแต่ก็ใสสะอาดจนสามารถมองเห็นพื้นทรายด้านล่าง บริเวณน้ำตกจะร่มรื่นไปด้วยป่าไม้เบญจพรรณนานาชนิดมองดูสบายตา นักท่องเที่ยวสามารถกางเต้นท์พักแรมบริเวณน้ำตกแม่ยะได้อีกด้วย

น้ำตกวชิรธาร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเกิดจากน้ำจากลำห้วยแม่กลางอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 750 เมตร ตัวน้ำตกมีเพียง 1 ชั้น สูงราว 70 เมตร โดยมีจุดชมวิวโดยรอบเราจะมองเห็นรุ้งกินน้ำในระยะใกล้เพียงแค่เอื้อมมือจากละอองน้ำที่กระทบกับแสงอาทิตย์ ฝั่งตรงกันข้ามกับน้ำตกมีหน้าผาสูงชัน เรียกว่า “ผาม่อนแก้ว” หรือ “ผาแว่นแก้ว”

พระธาตุนภเมทนีดลและพระธาตุนภพลภูมิสิริ เป็นพระธาตุที่ทหารอากาศและประชาชนร่วมกันสร้างถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เราจะเห็นวิวทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์ได้อย่างชัดเจนในบริเวณนี้ องค์พระมหาธาตุประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปบูชา ดังนั้น อย่าลืมกราบไหว้บูชาและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของทั้ง 2 พระองค์เพื่อเป็นศิริมงคลต่อตนเองและครอบครัว

กิ่วแม่ปาน เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะสั้นประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งสามารถเดินได้ในวันเดียว ระหว่างทางมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอกที่สวยงามของดอยอินทนนท์อีกแห่งหนึ่ง เส้นทางจะเดินผ่านป่าดิบเขาต้นไม้ถูกปกคลุมด้วยมอสสีเขียวและเฟิร์นหลากหลายชนิด ในฤดูฝนมีอากาศหนาวเย็นและถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาวทั่วทั้งผืนป่า เราจะเดินขึ้นเขาจนสุดปลายทางที่ทะลุออกไปยังทุ่งหญ้ากว้างของสันเขากิ่วแม่ปาน ถ้าโชคดีเราจะเห็นดอกสีแดงสดของ“ต้นกุหลาบพันปี” ที่ตัดกับผืนป่าสีเขียวดูสวยแปลกตาจนทำให้ลืมความเหนื่อยไปเลยทีเดียว

ยอดดอยอินทนนท์  เป็นยอดเขาสูงที่สุดในประเทศไทยที่ต้องไปเยือนสักครั้ง เราจะสัมผัสกับธรรมชาติที่แท้จริงของป่าดิบดึกดำบรรพ์ ที่ยอดดอยมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่น้ำขังตลอดปี และมีหินก้อนใหญ่รูปทรงคล้ายกา เรียกว่า “อ่างกาหลวง” บริเวณนี้เป็นพื้นที่ศึกษาธรรมชาติด้วย ที่สำคัญอย่าลืมแวะสักการะสถูปอัฐิของเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองเชียงใหม่องค์ที่ 7 และเป็นที่มาของชื่อ “ดอยอินทนนท์” ด้วย

สำหรับใครที่ชอบเที่ยวน้ำตก เดินเขาไปชมทะเลหมอก ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับครอบครัวและเพื่อนฝูงเพราะปลายปีมีวันหยุดยาวหลายวันลองวางแผนเดินทางกันให้ดีมีกิจกรรมสนุก ๆ มากมายรอเราอยู่ที่ปลายทาง “อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์”

ชวนเที่ยวเกาะเขาควาย ทะเลสวย น้ำใสที่ระนอง

                “ฟ้าสวย น้ำใส ทรายขาว คลื่นลมสงบ” นี่คงเป็นบรรยากาศทะเลในฝันของหลาย ๆ คน คงจะดีไม่น้อยถ้าในหนึ่งวัน จะได้มีเวลาพักผ่อนสัมผัสบรรยากาศริมทะเลสวย ๆ บรรยากาศแบบนั้นมีที่จังหวัดระนอง กับหมู่เกาะกำ โดยหมู่เกาะกำมีเกาะน้อยใหญ่อยู่รวม ๆ กันจำนวนมาก ตั้งอยู่บนอุทยานแห่งชาติแหลมสน และมีลักษณะที่เป็นทะเลแบบชายฝั่งจมตัว ทำให้มีแนวชายหาดทอดตัวยาว และยังเป็นอุทยานที่มีพรรณไม้และธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อากาศไม่ร้อนมากเหมือนกับการไปเที่ยวทะเลที่อื่น ๆ บนอุทยานแหลมสนนั้นจะพบไม้สนจำพวกสนทะเล และพบพันธุ์ไม้อื่น ๆ เช่น หยีทะเล จิกทะเล หูกวาง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสัตว์ที่อาศัยอยู่ภายในเกาะ อย่างพวกลิง ค่าง หมูป่า อีเห็นอีกด้วย และหากจะกล่าวถึงไฮไลท์ของอุทยานแหลมสนคงต้องกล่าวถึง “อ่าวเขาควาย” อันโด่งดังนั่นเอง

อ่าวเขาควายตั้งอยู่บนอุทยานแหลมสน และอยู่ในหมู่เกาะกำ จังหวัดระนอง มีลักษณะเป็นรูปโค้งคล้ายเขาของควาย จึงเรียกกันว่าอ่าวเขาควาย เกาะกำนับเป็นหมู่เกาะทางตอนใต้ของประเทศไทยในฝั่งอันดามัน ที่มีความงดงามมาก ทั้งทะเลสวย น้ำใส บางพื้นที่ของเกาะมีหาดทรายสลับกับหินกลมมน และหาดทรายยังสีขาวละเอียดเนียนตลอดแนวสน ที่มองแล้วให้ความรู้สึกสบายตา จะเดินเล่น ทำกิจกรรม หรืออาบแดดก็ยังได้ โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ให้ความรู้สึกโรแมนติกแบบพิเศษ เหมาะกับคู่รักที่อยากไปสวีทหรือขอแต่งงานกันริมทะเลได้เลย และยังสามารถชมสีสันของท้องฟ้าที่กำลังค่อยเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ก่อนพระอาทิตย์จะลาลับไป

แต่ถ้าหากเป็นสายแฮงค์เอาท์จะไปจัดปาร์ตี้ละก็ ไม่แนะนำเลย เพราะบนเกาะไม่เหมาะกับการจัดงานใด ๆ เนื่องจากไม่มีร้านค้าหรือที่พักให้พักแรม หากต้องการพักสามารถพักได้ในส่วนของที่พักของอุทยานแหลมสน เนื่องจากระยะทางในการไปกลับแต่ละเกาะกับอุทยานใช้เวลาไม่นานมากนัก สามารถไปกลับได้ในหนึ่งวันได้ โดยหากคุณเช่าเรือของชาวบ้าน ก็สามารถบอกให้เตรียมอาหารไว้ให้ได้ ซึ่งก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นธรรมดา แต่ก็ไร้กังวลเพราะชาวบ้านทุกคนเป็นกันเอง ให้บริการที่นับว่าค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก ยิ่งหากเทียบกับภาพบรรยากาศที่จะได้เจอ เรียกได้ว่าจ่ายพันได้คืนหมื่นแน่นอน

สำหรับใครที่สนใจอยากไปเที่ยวอ่าวเขาควาย นอกจากจะมีอ่าวสวย ๆ ให้ได้ชมความงามแล้ว ยังมีเกาะอื่น ๆ ที่น่าไปเยือนอีกหลายเกาะเช่น เกาะค้างคาว หาดบางเบน เกาะกำใหญ่ เกาะกำหนุ่ย หรือเกาะญี่ปุ่น ก็เป็นเกาะที่น่าท่องเที่ยวเช่นกัน คงคุ้มค่ากับการทำงานเหนื่อยมาทั้งปีอย่างแน่นอน หากได้ชมทะเลสวย  ๆ เล่นน้ำใส ๆ และคงไม่มีคำไหนบรรยายได้ดีไปกว่าการได้ไปเยี่ยมชมด้วยตัวเอง

 

เดินป่าวัดใจ พิชิตหนอกวัวที่จังหวัดพะเยา

ในประเทศไทยเองมีภูมิทรรศย์ทางธรรมชาติหลากหลาย โดยสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการพิชิตยอดเขาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นภูสอยดาว ภูกระดึง หรือยอดเขา ยอดดอยต่าง ๆ ในแถบภาคเหนือของไทยก็มีให้พิชิตจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น ดอยหนอก จังหวัดพะเยา เป็นที่ที่รอคอยผู้ที่ชื่นชอบการเดินป่า ปีนเขา ให้ไปพิชิตด้วยตัวเอง หากใครที่สนใจอยากไปเที่ยวต้องแจ้งเจ้าหน้าประจำศูนย์ก่อน ไม่สามารถเดินขึ้นไปด้วยตัวเองได้ โดยเส้นทางการเดินทางที่ต้องเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลาและเส้นทางเดินยังต้องเดินบนหินชัน ๆ กับป่าชื้น ๆ ตลอดระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร แต่จะมีจุดระยะให้พักระหว่างทางได้ แต่หากขึ้นมาถึงยอดดอยได้ จะได้พบกับหลวงพ่อทันใจประดิษฐานอยู่ด้านหน้าของดอยหนอก จากนั้นต้องไต่สลิงขึ้นไปอีกจึงจะถึงดอยหนอก เมื่อขึ้นไปถึงจะได้สัมผัสกับวิวภูเขาสูงแบบ 360 องศา และคงหายเหนื่อยในทันที

สำหรับดอยหนอกนั้นมีลักษณะที่คล้ายกันกับหนอกบนสันหลังของวัว มีความโดดเด่นในแง่รูปลักษณ์ที่เป็นที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก และที่สำคัญดอยหนอกยังเป็นเขตติดต่อระหว่างจังหวัดพะเยาและจังหวัดลำปาง ตั้งอยู่บนดอยหลวง สำหรับใครที่ไปทางฝั่งพะเยาสามารถที่จะเลือกลงทางฝั่งลำปางได้ แต่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝั่งเพื่อจะจัดเตรียมอำนวยความสะดวก และสามารถนำทางได้ เช่นเดียวกันหากเดินทางมาจากฝั่งลำปางสามารถขอลงทางฝั่งพะเยาได้เช่นกัน ด้านบนดอยนั้นยังมีพระธาตุดอยหนอกที่มีอายุราว 100 ปีมาแล้ว ภายในมีรอยพระพุทธบาทให้กราบสักการะได้อิ่มบุญกันก่อนกลับอีกด้วย และนอกจากนี้ยังสามารถชมวิวของควานพะเยา วิวจังหวัดเชียงใหม่ และวิวจังหวัดเชียงรายได้อีกด้วย เรียกได้ว่ามาที่เดียวเที่ยวได้ 4 จังหวัดกันไปเลย และหากโชคดีก็จะได้พบกับทะเลหมอกได้อีกด้วย

สำหรับการเดินทางขึ้นไปพิชิตดอยหนอกนั้นสามารถกางเต้นท์นอนพักแรมได้ เนื่องจากเป็นเส้นทางติดต่อกันกับดอยหลวง ซึ่งอยู่สูงกว่าไปว่า จะเลือกเที่ยวที่ใดก่อนก็สามารถทำได้อย่างที่ต้องการ สำหรับการเดินทางจะมีการใช้รถอีแต๊น ก่อนระยะหนึ่ง โดยรถอีแต๊นเป็นบริการจ้างจากชาวบ้านที่เตรียมไว้คอยให้ความอำนวยสะดวกแก่นักท่องเที่ยวผู้พิชิตทุกท่าน และมีบริการหาบของสัมภาระให้บริการด้วย การท่องเที่ยวดอยหนอกนั้นไม่เหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีความอดทนต่ำ ไม่ได้มีใจรักในธรรมชาติ เพราะต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติที่ไม่คาดคิด เนื่องจากปัจจุบันฤดูกาลมีความเปลี่ยนแปลงบ่อย อีกทั้งสัตว์ขนาดเล็ก และแมลงรบกวนที่น่าลำคราญอย่างยุ่งยังมีเป็นจำนวนมาก แต่หากทนได้คุณจะได้พบดวงดาวทามกลางสายหมอกบนท้องฟ้า และดวงดาวระยิบบนพื้นดินที่คุณจะต้องประทับใจไม่รู้ลืม

 

ทองคำหลวงสีดำ ไข่ปลาสุดล้ำค่าจากจังหวัดเชียงใหม่

                ภัยแล้งและอุทกภัย ดูจะเป็นปัญหาที่หนักหนาสำหรับประเทศไทยที่เกิดขึ้นในทุก ๆ ปี แต่ชาวต่างชาติจำนวนมากก็ยังว่าเมืองไทยเป็นเมืองโชคดีที่ไม่หนาวจนแหล่งน้ำในธรรมชาติกลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งจะส่งผลต่อการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร การเพาะเลี้ยงสัตว์ และการประมง ด้วยอากาศที่เหมาะสมแบบนี้ จึงทำให้คนในประเทศไทยมีอาหารไว้ล่อเลี้ยงได้อย่างไม่ขาดแคลนหรืออดอยาก อย่างคำกล่าวที่ว่า ประเทศไทยนั้นอุดมสมบูรณ์ในน้ำมีปลาในนามีข้าว แปลว่า ประเทศไทยสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีใด ๆ อยู่กันได้ด้วยตนเองมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ และในปัจจุบันนี้เองที่พบว่าประเทศไทยสามารถเพาะปลูกพืชต่างประเทศได้มากมาย หลากหลายขึ้นกว่าแค่พืชในท้องถิ่นเดิม อย่างเช่น องุ่น สตอเบอร์รี่ บล็อกโคลี พลับ สาลี กีวี ราสพ์เบอร์รี่ พีช อโวคาโด แครรอท ลูกฟลิกหรือมะเดื่อฝรั่ง ถือเป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้แก่เกษตรกรชาวไทย นอกจากนั้นยังมีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางประมง ที่ให้ผลผลิตเป็นทองคำสีดำที่มีค่า หรือที่เรียกกันว่า “คาเวียร์”

ไข่ปลาคาเวียร์แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากปลาคาเวียร์ แต่มาจากปลาสเตอเจียน หรือ sturgeon เป็นปลาที่มีถิ่นกำเนิดที่แถบทะเลแคสเปียน เกิดในแหล่งน้ำจืด เมื่อโตพอก็จะว่ายออกสู่ทะเล และถึงฤดูวางไข่ก็จะกลับมาวางไข่ที่แหล่งน้ำจืด คล้ายกันกับปลาแซลมอล โดยปลาสเตอเจียนถูกนำมาเพาะเลี้ยงที่โครงการพระราชดำริบ้านเล็กในป่าใหญ่ ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมหาศาล โดยไข่ปลาคาเวียร์ขนาดบรรจุ 100 กรัม จำหน่ายในราคา 5,000 บาท และกระปุกเล็กขนาด 25 กรัม ราคา 1,300 บาท แต่ยังนับว่าเป็นราคาที่ไม่แพงไปเลยสำหรับสินค้าคุณภาพในโครงการหลวงอีกหนึ่งรายการ หากเทียบกับการนำเข้า ซึ่งคุณภาพไม่แตกต่างกัน

โดยประชาชนทั่วไป หากสนใจเข้าชม สามารถเยี่ยมชมฟาร์มตัวอย่างได้ในวันและเวลาราชการ และทางโครงการยินดีจะเผยแพร่ความรู้แก่เกษตรกรรายอื่น ๆ ที่สนใจอีกด้วย สำหรับท่านได้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและรักการช้อปปิ้งสินค้าคุณภาพเป็นชีวิตจิตใจ จังหวัดเชียงใหม่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติในโครงการพระราชดำริอื่น ๆ อีกจำนวนมาก และมีสินค้าโครงการหลวงภายใต้แบรนด์ ศิลปกรจำหน่ายอีกมากมาย

หนึ่งสิ่งที่มักมาคู่กันกับการท่องเที่ยว คือการซื้อของฝากกลับไปให้คนที่บ้านหรือที่ทำงาน การได้เดินเลือกซื้อสินค้า และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีคุณภาพและมีคุณค่ากับการมาเยือนสถานที่นั้น ๆ ย่อมเกิดผลประโยชน์กับทั้งตัวผู้ให้ ผู้รับ และผู้จำหน่าย สินค้าในโครงการหลวงหลายรายการเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี ทั้งยังช่วยอุดหนุนเกษตรกรให้มีกำลังใจในการผลิตสินค้าที่ดีต่อไป

 

ท่องเที่ยวแกรนด์แคนยอนเมืองไทย จากแพร่ถึงน่าน

สถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติในประเทศไทยเองมีเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความงดงามทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ โดยจะดูได้จากประเทศไทยมีอุทยานและวนอุทยานจำนวนมาก พื้นที่ทางแถบภาคเหนือนี้เองก็มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้เป็นอุทยานของธรรมชาติที่ต่างกันออกไปเล็กน้อย คือ แกรนด์แคนยอนในแถบภาคเหนือของประเทศไทย อย่างแพะเมืองผี วนอุทยานแห่งชาติแพะเมืองผีจังหวัดแพร่ และฮ่อมจ๊อม อุทยานแห่งชาติศรีน่าน จังหวัดน่าน

ทั้งแพะเมืองผี และฮ่อมจ๊อมเกิดจากการที่แหล่งน้ำในฤดูน้ำหลาก กัดเซาะหินทรายตามธรรมชาติเป็นเวลานาน จนทำให้เกิดเนินดินทราย และเสาดินจำนวนมาก ๆ แต่ละมุมของพื้นที่มีความแตกต่างกันออกไปตามกาลเวลา สถานที่ดังกล่าวมาทั้ง 2 สถานที่มีความงานทางธรณีวิทยาเป็นอย่างมาก นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถใช้ศึกษาลักษณะทางปฐพีวิทยาที่จัดว่ามีความงดงามไม่แพ้แกรนด์แคนยอนในต่างประเทศเลยก็ว่าได้

โดยแพะเมืองผีนั้นมีอายุมานานตั้งแต่ยุคควาเทอร์นารี (Quaternary) หรือราว ๆ 10,000-30,000 มาแล้ว ความหมายของคำว่า แพะเมืองผีคือ ป่าละเมาะที่มีความเงียบสงบไร้ผู้คน นอกจากนี้ยังมีตำนานอีกว่า มีหญิงชราหาของป่าขาย วันหนึ่งเดินไปพบทองคำกลางป่า แต่ด้วยความชราทำให้นำทองกลับมาไม่ได้ เขาจึงไปเรียกคนมาช่วยในวันรุ่งขึ้น หญิงชรากลับไม่พบทองพบเพียงรอยเท้าเดินมุ่งหน้ามายังแพะเมืองผีในปัจจุบัน ความลึกลับที่น่าหลงใหลทำให้มีผู้คนไปเยี่ยมชมสถานที่ดังกล่าวจำนวนมาก แต่ยังมีคนส่วนน้อยที่จะรู้จักฮ่อมจ๊อม

ฮ่อมจ๊อมนั้นอยู่ไม่ไกลจากจังหวัดแพร่มากนัก หากเดินทางไปเที่ยวชมแพะเมือผีจังหวัดแพร่แล้ว สามารถเดินทางไปเที่ยวต่อที่จังหวัดน่านได้ไม่ยาก อีกทั้งจังหวัดน่านเองก็มีความสวยงาม เงียบสงบ มีใครบางคนเคยบอกไว้ว่า จังหวัดน่านนาน ๆ เจอกัน เนื่องจากจังหวัดน่านเป็นจังหวัดที่ไม่ค่อยมีคนผ่านมาแวะเที่ยวชมมากนัก และไม่ใช่จังหวัดที่จะผ่านไปเที่ยวจังหวัดอื่นต่อไป ฮ่อมจ๊อม เป็นคำที่ชาวบ้านใช้เรียกพื้นที่ดังกล่าว และฮ่อมจ๊อมนี้เองยังเคยเป็นคอกเสือ โดยไล่ต้อนเสือไปยังคันสันดินที่ธรรมชาติ และปลิดชีวิตสัตว์ร้าย ณ คอกเสือนั้น นับเป็นเชาว์ปัญญาชาวบ้านที่ใช้ชัยภูมิพื้นที่ ที่คุ้นชินในการแก้ปัญหาสัตว์เลี้ยงอย่าง ม้า วัว ควายถูกจับกิน

อย่างไรก็ดีการท่องเที่ยวในทุกสถานที่มีความพิเศษที่แตกต่างกันออกไป ทั้งจังหวัดน่านและจังหวัดแพร่มีวัฒนธรรมดำเนินชีวิตที่น่าสนใจไม่แพ้กัน การไปท่องเที่ยวในทั้ง 2 จังหวัดจะทำให้ได้พบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมอย่างที่หาคำใดมาพรรณนาไม่ได้เลยนอกจากการได้สัมผัสด้วยตัวเอง

 

ชวนชมสถาปัตยกรรมเด่น เที่ยวเมืองขนมหม้อแกง เพชรบุรี

เมื่อพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปะที่ไม่ไกลกรุงเทพมากนัก จังหวัดเพชรบุรีก็นับเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย เพราะเป็นจังหวัดที่มีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และมีที่มาน่าสนใจไม่น้อยเลยที่เดียว  เมื่อพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวเมืองเพชรบุรี ผู้คนส่วนใหญ่จะนึกถึง อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี หรือที่ผู้คนในจังหวัดเรียกกันติดปากว่า “เขาวัง” เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองเพชรบุรี มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบยุโรปผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยและจีน ซึ่งได้มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้ยังแสดงให้เห็นรอยประวัติศาสตร์สมัยนั้นผ่านสถาปัตยกรรมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สำหรับคนที่มาท่องเที่ยว ทางขึ้นเขาวังนั้น จะมีอยู่ 2 ทาง คือทางรถรางไฟฟ้า และทางเดินเท้า โดยสำหรับผู้สูงอายุขอแนะนำให้ขึ้นรถรางดีกว่า แต่ถ้าเป็นวัยรุ่นหน่อยเดินขึ้นเขาก็ไปไกลมากนั้น แถมยังได้ชมบรรยากาศรอบ ๆ วัง ก็จะได้โมเม้นต์ที่ดีไปอีกแบบ และจุดเด่นอีกอย่างของเขาวังก็คือ เจ้าลิงตัวน้อย ๆ ทั้งหลายที่วิ่งเล่นกันเต็มเขาวังนั้นเอง งานนี้สำหรับใครที่ชอบถือของหรือสะพายกระเป๋าก็ต้องระวังกันด้วยเพื่อความปลอดภัย สำหรับค่าเข้าชมอยู่ที่ คนไทย 60 บาท คนต่างชาติ 190 บาท ราคานี้รวมค่ารถรางแล้ว

หลังจากลงเขาวังมาแล้วเราก็ไปต่อกันที่ พระรามราชนิเวศน์ หรือที่คนเพชรบุรีเรียกกันว่า วังบ้านปืน พระราชวังหลังนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งโดยออกแบบโดยช่างชาวเยอรมนี สถาปัตยกรรมแบบบาโรคผสมผสานแบบอาร์ต นูโว หรือที่เยอรมันเรียกว่า จุงเกนสติล โดยจะเน้นความทันสมัยโดยจะไม่มีลายปูนปั้นวิจิตรพิสดารมาก พระราชวังหลังนี้จะเน้นเรื่องความสูงของหน้าต่าง ประตู และเพดาน ซึ่งทำให้พระราชวังนั้นเต็มไปด้วยความวิจิตรงดงามและเต็มไปด้วยกลิ่นอายความคลาสสิกแบบตะวันตก โดยเริ่มตั้งแต่กระเบื้องสีน้ำตาล ที่นำเข้าจากยุโรปที่ซึ่งแบบเดียวกันกับที่ใช้สร้างพระราชวังของพระเจ้าวิลเฮิร์มไกเซอร์แห่งประเทศเยอรมัน

จุดเด่นที่พลาดไม่ได้ คือเหล่า คิวปิดตัวน้อยตามแถวบันไดกลางโถงพระราชวัง โดยแต่ละห้องนั้นจะมีการใช้สีที่แตกต่างกันอันเป็นรูปแบบเฉพาะของสถาปัตยกรรมแบบอาร์ต นูโว ทำให้พระราชวังแห่งนี้ดูสวยงามและน่าเที่ยวชมอย่างมาก ทั้งนี้ใครที่ชอบสถาปัตยกรรมแบบยุโรปไม่ควรพลาด โดยเข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น ค่าเข้า คนไทย 20บาท คนต่างชาติ 50 บาท

สำหรับของฝากนั้นเมื่อมาเพชรบุรีแล้วที่ต้องซื้อกลับ นั้นก็คือ ขนมหม้อแกง และน้ำตาลสด โดยจัดว่าเป็นของฝากที่อร่อย และมีให้เลือกหลากหลายร้าน และยังสามารถซื้อผลงานของกลุ่มแม่บ้านทหารที่ร้านของฝากบริเวณวังบ้านปืนเป็นของติดไม้ติดมือกลับได้อีกด้วย

 

หาดบางแสน ทะเลใกล้กรุง แหล่งผ่อนคลายชั้นดีของคนรักทะเล

หากอยากพักผ่อนชายทะเลสักแห่งที่ไม่ไกลเมืองกรุงมากนัก หาดบางแสนก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองชลบุรีเพียง 10 กิโลเมตร การเดินทางมาจากกรุงเทพ ให้ขับมาตามถนนสุขุมวิท เลี้ยวซ้ายตรงสามแยกกาแล็คซี ขับตรงผ่านหน้ามหาวิทยาลัยบูรพา จะเจอกับวงเวียนบางแสน  เมื่อมาถึงวงเวียนบางแสนแล้วจะพบกับบรรยากาศ ลมเย็นสบาย ถึงแดดจะออกแต่ก็ไม่ร้อนมาก ตัวหาดบางแสนจะแบ่งเป็น 2 โซนคือหาดบางแสนล่าง และตัวหาดบางแสนสำหรับผู้ที่ชอบเที่ยวทะเลแบบเอาบรรยากาศ อย่างเดียวไม่ลงเล่นน้ำ แนะนำให้ขับลงสู่ถนนเลียบหาดบางแสนล่าง ในช่วงเย็นของวัน จะพบกับร้านอาหาร ร้านนม บาร์ หรือจะปูเสื่อนั่งดื่มเอาบรรยากาศบนหาดเลย ก็จะได้อารมณ์บรรยากาศไปอีกแบบ

ในช่วงเวลาปกติ ขับรถเลาะเลียบชายทะเลหาดบางแสนด้านบน จะเริ่มสังเกตเห็นเปลผ้าใบและร่มอันเป็นสัญลักษณ์โดยทั่วไปของชายทะเล โดยราคาเปลที่นั่งเริ่มต้นที่ ราคา 60 บาท พอไปนั่งแล้วจะมีแม่ค้านำรายการอาหารให้เลือกสั่งทานมากมาย อาทิ ข้าวผัดทะเล ทะเลลวกจิ้ม กุ้งเผา หมึกย่าง ส้มตำ สำหรับคนที่ชอบความสนุกท้าท้าย บริเวณริมหาดจะมีบริการให้เช่าบานาน่าโบ๊ท หรือโดนัทให้เล่นกันอยากสนุก โดยราคาอยู่ที่ 200-300 บาท ต่อรอบ หรือแบบเหมารอบ ก็ตกลงราคากับคนขับได้เลย ในยามสายของวันจะมีชาวบ้าน ชาวประมงท้องถิ่นมานั่งเก็บหอยทรายกันเป็นจุด ๆ ถัดไปไม่ไกลนักจะเห็นชาวประมงพายเรือที่ทำจากเจ็ทสกีเก่า ออกไปวางตาข่ายดักปลากลางทะเล ก็นับว่าเป็นกลิ่นอายของวิถีชีวิตของผู้คนริมทะเล

สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับมาท่องเที่ยวนอกเหนือจากฤดูร้อนแล้ว ช่วงต้นฤดูหนาวก็นับเป็นช่วงเวลาที่ดี เพราะอากาศไม่ร้อนมาก หาดสะอาด น้ำทะเลใส ในช่วงเวลานี้ลงเล่นน้ำห่างจากหาดไม่ไกล แนะนำให้ลองดำน้ำแบบดำผิวน้ำ ก็จะเห็นปลาทูข้างเหลืองตัวน้อย ๆ ว่ายผ่านเป็นกลุ่ม แถมราคาอาหารและค่าบริการต่างจะถูกว่าช่วงไฮซีซันค่อนข้างมาก ริมหาดยังมีที่พักให้เลือกหลายแบบ ตั้งแต่โรงแรมติดดาวไปจนถึงห้องพักเล็ก ๆ รายวัน ราคาก็มีให้เลือกหลากหลาย

สำหรับของฝากนั้น นอกจากโมบายที่ทำจากเปลือกหอยแล้ว แนะนำให้ขับรถไปที่ตลาดประมงพื้นบ้านอ่างศิลา โดยนับว่าเป็นแหล่งของฝากที่ดีมากทีเดียว เพราะมีทั้งอาหารทะเลสด ๆ พร้อมบริการบรรจุกล่องโฟมพร้อมน้ำแข็งฟรีอีกด้วย ส่วนอาหารแห้งนั้นก็มีให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ ปลาทูหอม ปลาหมึกแห้ง ปลากุเลาแห้ง โดยจะมีทั้งร้านใหญ่ที่มีของให้เลือกมากมาย และแผงขายปลาเล็ก ๆ จากชาวบ้าน อีกด้วย ด้านบนของตลาดจะมีโซนร้านอาหารให้นั่งทานเพื่อเติมพลังก่อนเดินทางกลับอีกด้วย